info@icons.co.th 02 810 8892-6 18.219.22.107

แลนด์ลุย 11 โครงการ 3 หมื่นล้าน คาดดอกเบี้ยลดครึ่งปีหลัง บ้านต่ำ 3 ล้านได้หายใจ

Residential News / ข่าวหมวดที่พักอาศัย

เปิดแผนปีมังกร “แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” ตั้งเป้ายอดขาย 31,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ยอดโอน 28,000 ล้าน ส่วนรายได้อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าตั้งเป้าไว้ที่ 8,540 ล้าน เผยปี 2566 ขายแนวราบได้มากถึง 73% ราคาบ้าน 10 ล้านอัพขายเพลิน ปรับแผนลุยคอนโดฯริมเจ้าพระยา 1.5 หมื่นล้านแทนทำเลศรีนครินทร์ ปี 2567 เปิด 11 โครงการใหม่บุกแนวราบอย่างเดียว 3 หมื่นล้าน ไร้เงาอาคารชุด ชี้ดอกเบี้ยลดในครึ่งปีหลัง บ้านไม่เกิน 3 ล้านมีโอกาสหายใจ ธุรกิจโรงแรมโตพรวด ออกหุ้นกู้ 16,000 ล้านขยายตลาด

นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์และผลงานปี 2566 รวมทั้งแผนลงทุนปี 2567 ว่า ปี 2566 จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จและจดทะเบียนโดยผู้ประกอบการใน กทม.และปริมณฑล ทั้งตลาดช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค. 2566 มีจำนวน 52,715 หน่วย ลดลง 17.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อแยกรายตลาดพบว่า บ้านแนวราบเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมลดลง โดยที่ตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเพิ่มขึ้น 58% ทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น 12% คอนโดมิเนียมลดลง 48%

ในด้านอุปทานจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ใน กทม.และปริมณฑล ช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. 2566 โดยรวมทั้งตลาดมีจำนวน 95,527 หน่วย ลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อุปทานที่ลดลงมาจากตลาดทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียมที่ลดลง 23% และ 10% ตามลำดับ

ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมีการเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้น 17.3% ส่งผลให้บ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทมีสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565

ปี’66 แนวราบขายดี 73%-ราคา 10 ล้านอัพ 57%

บริษัทเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 43,460 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 16 โครงการ คอนโดฯ 1 โครงการ เพิ่มขึ้น 8,500 ล้านบาทเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการตามแผนเดิม 34,960 ล้านบาท เนื่องจากได้เปิดโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยา มูลค่า 15,000 ล้านบาท แทนโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งมีมูลค่า 6,500 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนา 6.100 ล้านบาท

สัดส่วนยอดขายแบ่งตามประเภทสินค้า โดยบ้านแนวราบ (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์) ยังเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัท สัดส่วนการขายบ้านแนวราบและคอนโดฯ คือ 73% : 27%

เมื่อจำแนกตามพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังเป็นพื้นที่หลักในการก่อให้เกิดยอดขาย โดยสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑลและยอดขายของโครงการในต่างจังหวัด คือ 90% : 10%

สัดส่วนระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็นประมาณ 57% ของยอดขาย

ณ ต้นปี 2566 บริษัทมีจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 70 โครงการ อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 41 โครงการ ต่างจังหวัด 29 โครงการ

โครงการที่เปิดใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 43,460 ล้านบาท เป็นแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 28,460 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2566 มีทั้งหมด 87 โครงการ มีโครงการปิดระหว่างปี 14 โครงการ

ทำให้ ณ สิ้นปี 2566 มีโครงการที่ยกไปทำต่อในปี 2567 เป็นจำนวน 73 โครงการ รวมมูลค่า 68,350 ล้านบาท เป็นแนวราบ 66 โครงการ มูลค่า 52,350 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท

ปี’67 ลุยแนวราบ 11 โครงการใหม่ 3 หมื่นล้าน-ไร้เงาคอนโดฯ

ในปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ มุลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปี 2566 ได้เปิดคอนโดมิเนียม วันเวลา ณ เจ้าพระยา ซึ่งมีมูลค่า 15,000 ล้านบาท หากเปรียบเทียบเฉพาะโครงการแนวราบ มูลค่าโครงการเปิดใหม่จะเติบโต 6% จากปี 2566

โครงการใหม่เป็นแนวราบทั้งหมด ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 11 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ (Villaggio ลำลูกกา-วงแหวน ซึ่งมีทั้งบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์) โดยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 โครงการ ต่างจังหวัด 1 โครงการ

ดังนั้น จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2567 จะมีทั้งหมด 84 โครงการมูลค่า 98,550 ล้านบาท แยกเป็นสินค้าแนวราบ 77 โครงการ มูลค่า 82,550 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท

ประมาณราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในปี 2567 เท่ากับ 9.4 ล้านบาท (ปี 2566 ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 9.6 ล้านบาท)

ชี้ดอกเบี้ยลดในครึ่งปีหลัง-บ้านไม่เกิน 3 ล้านมีโอกาส

นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด เปิดเผยว่า ปี 2566 ตลาดคอนโดมิเนียมในบางระดับราคาฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567

ทั้งพบว่า ความต้องการซื้อสินค้าในตลาดระดับบนและบางทำเลยังมีอยู่ จึงปรับแผนเปิดโครงการคอนโดฯวันเวลา ณ เจ้าพระยา เมื่อปลายเดือนตุลาคม แทนโครงการตามแผนเดิม เพื่อตอบสนองดีมานด์คอนโดฯริมน้ำที่ได้รับการตอบรับดี โดยสร้างยอดขาย 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 4,000 ล้านบาท

ทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายจากสินค้าคอนโดฯได้ 6,200 ล้านบาท เติบโต 176% จากปีก่อน คิดเป็น 27% ของยอดขายรวมทั้งหมด

ในปี 2567 ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์คือ อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะทยอยปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี และมาตรการภาครัฐที่ขยายเวลาลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองอีก 1 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อคอนโดฯราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทำให้แบรนด์ The Key ทำเล MRT เพชรเกษม 48 มีโอกาสที่ดี

ปัจจุบันบริษัทมีคอนโดฯในมือพร้อมขาย 7 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โดยเน้นคอนโดฯที่เปิดขายอยู่แล้วในปัจจุบัน จึงยังไม่มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ 5,500 ล้านบาท ยอดโอน 2,000 ล้านบาท

ธุรกิจโรงแรมโตแกร่ง-ออกหุ้นกู้ 16,000 ล้าน

นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน เปิดเผยว่า ปี 2566 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.2% ต่อปี ณ สิ้นปีที่ผ่านมามีหนี้ภาระดอกเบี้ยสุทธิ 58,000 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 1.12 ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.75%

สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าปี 2566 เป็นปีที่ธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะโรงแรมและศูนย์การค้าในไทย คาดมีรายได้เพิ่ม 70% และ 100% ตามลำดับจากปีก่อน เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าโดยตรง

บริษัทลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 2.870 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรม Grande Centre Point Surawong 920 ล้านบาท โครงการ Grande Centre Point Lumpini 870 ล้านบาท และโรงแรมและอพาร์ตเมนต์ 1,080 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัท LHMH ลงทุนเพิ่มในทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) มูลค่ารวม 1,952 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการลงทุนในกองทรัสต์เพิ่มขึ้นจากเดิม 14.73% เป็น 26.17%

บริษัท LHMH ได้เปิด 1 โครงการใหม่ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Surawong เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 มูลค่า 2,300 ล้านบาท และได้ขายโรงแรม 2 แห่งคือ โรงแรม Grande Centre Point Pattaya และ Grande Centre Point Space Pattaya ให้กับกองทรัสต์ LHHOTEL เป็นมูลค่า 9,400 ล้านบาท ทำให้บริษัทรับรู้กำไรก่อนภาษี 2,500 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนระหว่างปี 2567-2575

แผนงานปี 2567 บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ 16,000 ล้านบาทเท่าปีที่แล้ว อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะคงอยู่ในระดับใกล้เคียง 1.0 ลดลงจากสิ้นปี 2566 โดยเตรียมงบลงทุนไว้ 11,500 ล้านบาท สำหรับซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย 5,000 ล้านบาท และลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 6,500 ล้านบาท

ปัจจุบันมีรายได้ค่าเช่าจากโครงการที่ทำอยู่แล้วและอยู่ระหว่างพัฒนามีทั้งหมด 16 โครงการ มีทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม อพาร์ตเมนต์ และสำนักงานให้เช่าบริหารโดย LHMH บริหาร 12 โครงการในไทย ส่วนบริษัท LH USA บริหาร 4 โครงการในสหรัฐอเมริกา และมีแผนจะขายศูนย์การค้า 1 แห่งเข้ากองทรัสต์ฯ

17/1/2567  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 17 มกราคม 2567 )

ช่องยูทูปของ iCONS