info@icons.co.th 02 810 8892-6 18.209.69.180

เปิด 3 ธุรกิจหลัก “สิงห์ เอสเตท” ยักษ์อสังหาฯเจ้าของเอส โอเอซิส

Residential News / ข่าวหมวดที่พักอาศัย

เปิดประวัติและผลประกอบการ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายยักษ์ของประเทศไทย “สิงห์ เอสเตท” นอกจากโครงการ “เอส โอเอซิส” ยังมีอะไรอีกบ้าง

วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุเพลิงไหม้กลางกรุงที่สร้างความระทึกขวัญให้ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงและชาวโซเชียลเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เกิดขึ้นบริเวณดาดฟ้าของอาคารสูง 35 ชั้น ที่กำลังก่อสร้าง ในซอยเฉยพ่วง ถนนวิภาวดีรังสิต

หากการก่อสร้างเสร็จสิ้นภายในปลายปีนี้ตามเป้าหมาย อาคารแห่งนี้จะกลายเป็นสำนักงานเกรดเอ มูลค่า 3,695 ล้านบาท ภายใต้ชื่อโครงการ “เอส โอเอซิส” ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ให้เช่า 54,000 ตารางเมตร พื้นที่ค้าปลีก 1,700 ตารางเมตร ที่จอดรถยนต์จำนวน 870 คัน พร้อม EV Charger และอาคารจอดรถโดยรอบที่รองรับได้กว่า 1,500 คัน

“เอส โอเอซิส” ไม่ใช่โครงการของหน้าใหม่ในแวดวงธุรกิจ ทว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ภายใต้เครือบุญรอดบริวเวอรี่ของตระกูล “ภิรมย์ภักดี” ซึ่งวันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” จะชวนทำความรู้จักให้มากยิ่งขึ้น

ข้อมูลจากเว็บไซต์บริษัทระบุว่า บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2538 โดยก่อนหน้านั้นใช้ชื่อว่า บริษัท พาณิชย์ภูมิพัฒนา จำกัด วัตถุประสงค์หลักเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรรและอาคารชุดพักอาศัย

สิงห์ เอสเตท มีไทม์ไลน์ประวัติที่น่าสนใจ ดังนี้

14 สิงหาคม 2538 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทมีมติอนุมัติแผนการรวมธุรกิจของบริษัทกับบริษัท สันติบุรี จำกัด และกับบริษัท เอส ไบรท์ฟิวเจอร์ จำกัด โดยการรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer)

30 เมษายน 2547 เปลี่ยนชื่อจาก บริษัท พาณิชย์ภูมิพัฒนา จำกัด เป็นบริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 30,000,000 บาท เป็น 375,000,000 บาท เพื่อเตรียมเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 15 ล้านหุ้น และนำหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากมูลค่าหุ้นละ 100 บาทเป็นหุ้นละ 5 บาท

9 มิถุนายน 2557 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทมีมติอนุมัติแผนการรวมธุรกิจของบริษัทกับบริษัท สันติบุรี จำกัด และกับบริษัท เอส ไบรท์ฟิวเจอร์ จำกัด โดยการรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer)

12 กันยายน 2557 ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 4,162,352,331 หุ้น โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,932,405,804 ให้แก่ SPM และ SPM SG เพื่อชำระค่าหุ้นสามัญของบริษัท เอส ไบรท์ฟิวเจอร์ จำกัด แทนการชำระด้วยเงินสด และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนอีกจำนวน 1,229,946,524 หุ้น ให้แก่ นายสันติ ภิรมย์ภักดี เพื่อชำระค่าหุ้นสามัญของบริษัท สันติบุรี จำกัด แทนการชำระด้วยเงินสด การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ กลุ่มสิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ (ถือหุ้นร้อยละ 99.99 โดยบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด) และนายสันติ ภิรมย์ภักดี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)

4 เมษายน 2558 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 วันที่ 22 เมษายน 2558 มีมติอนุมัติรายการสำคัญ หนึ่งในนั้นคือ การเข้าลงทุน ในบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านการพัฒนาที่พักอาศัยแนวราบ ภายใต้แบรนด์ “Nirvana” ในสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 51

08 สิงหาคม 2558 ลงทุนในอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานแฝด เกรด B บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท

09 กันยายน 2558 มีการอนุมัติ การลงทุนในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นโครงการอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า บริเวณหัวมุมถนนอโศกมนตรีและเพชรบุรีตัดใหม่ โดยมีมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 4,255 ล้านบาท และการให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานบางส่วนในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ แก่บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และบริษัทย่อยกลุ่มบุญรอดฯ โดยมีระยะเวลาการเช่า 50 ปี และกำหนดค่าเช่ารวมประมาณ 1,900 ล้านบาท

เปิดตัวโครงการดิ เอส อโศก ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักเซอรี่ บนถนนอโศกมนตรี และเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกที่บริษัทพัฒนาขึ้นภายหลังการรวมธุรกิจ มูลค่าโครงการประมาณ 4,500 ล้านบาท

ลงทุนในกิจการโรงแรม 26 แห่ง ภายใต้แบรนด์ “Mercure” ในสหราชอาณาจักร ผ่านบริษัทร่วมทุน (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50) มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 155 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 8,600 ล้านบาท

กันยายน 2559

ลงทุนในกิจการโรงแรม 3 แห่งในสหราชอาณาจักร ผ่านบริษัทร่วมทุน (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50) มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 12 ล้านปอนด์ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อินเตอร์ จำกัด (บริษัทย่อย ร้อยละ 99.99) ในฐานะผู้ให้บริการ เข้าทำสัญญาบริการ (Master Service Agreement) กับ Singha Property Management (Singapore) Pte.Ltd. (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท) ในฐานะผูว่าจ้าง เพื่อให้บริการบริหารโครงการพัฒนา Tourist facilities บน Emboodhoo Lagoon ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ โดยมีค่าตอบแทนภายใต้สัญญาบริการรวมประมาณ 276 ล้านบาท และบริษัทได้รับโอกาสในการเข้าลงทุนโดยการรับแบ่งสิทธิสัญญาเช่า และ/หรือ การเช่าช่วงทรัพย์สินในโครงการภายใต้สิทธิในการซื้อหรือลงทุน (Option to Purchase) และ/หรือ สิทธิในการปฏิเสธก่อน (Rights of First Refusal)ปี 2561 มีความคืบหน้าในหลายโครงการ เช่น

เปิดตัวโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury

เข้าลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ท 6 แห่งภายใต้แบรนด์ Outrigger

เปิดตัวโครงการ “อีส สุขุมวิท 43” คอนโด Low-rise

เปิดตัวโครงการ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury

เปิดตัวโครงการ “สิงห์ คอมเพล็กซ์” ซึ่งเป็นโครงการ Mixed-use ระดับ Luxury แห่งแรกของบริษัท ปี 2562

บริษัทได้จัดตั้งกองทรัสต์ภายใต้ชื่อ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ เอสไพรม์ โกรท (SPRIME) ซึ่งลงทุนในสิทธิการเช่าระยะยาว 30 ปี ในพื้นที่ อาคารสำนักงานของอาคารซันทาวเวอร์ส โดยมีขนาดกองทรัสต์ 5,717 ล้านบาท และ บริษัทยังคงถือกองทุน ในอัตราส่วนร้อยละ 20 เป็นจำนวนเงิน 893.5 ล้านบาท

นำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2563

บริษัทได้เข้าซื้ออาคารสำนักงานเมโทรโพลิศ เนื้อที่ประมาณ 26,157 ตารางเมตร และรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินของอาคารดังกล่าว ในมูลค่า การซื้อขายทั้งสิ้น 1,725 ล้านบาท ซึ่งอาคารสำนักงานเมโทรโพลิศ ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองย่านพร้อมพงษ์ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า บีทีเอส โดยบริษัทมีแผนที่จะให้เช่าระยะยาวทรัพย์สินดังกล่าวแก่กองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท ในอนาคต

เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม The EXTRO

เปิดตัว The EXTRO โครงการคอนโดมิเนียมระดับ Affordable luxury มูลค่าโครงการกว่า 4,066 ล้านบาท จำนวน 411 ยูนิต โดยราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 235,000 บาท โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 เป็นโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ เริ่มดำเนินการส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้า 3 ธุรกิจหลัก สิงห์ เอสเตท ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจและการลงทุนผ่านการซื้อที่ดินในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง และการพัฒนาการโครงการที่มีคุณภาพภายใต้แนวคิด “Best in Class” ควบคู่ไปกับการลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจหรือทรัพย์สินที่มีศักยภาพ การเติบโตสูง โดยแบ่งเป็น 3 ธุรกิจหลัก ดังนี้

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าซึ่งหมายรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานให้เช่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี จึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักของบริษัท

และถูกบรรจุอยู่ในแผนธุรกิจระยะ 5 ปี บริษัทมีนโยบายในการขยายธุรกิจประเภทนี้ผ่านการพัฒนาและการลงทุน โดยรายได้หลักจากธุรกิจดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย รายได้ค่าเช่าพื้นที่ รายได้จากการให้บริการระบบสาธารณูปโภคและระบบรักษาความปลอดภัย และรายได้จากการให้บริการอื่น

ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจโรงแรมท้ังหมดของบริษัทอยู่ภายใต้การบริหารงาน ของ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด มหาชน (SHR)ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทโดยในปัจจุบัน SHR มีโรงแรม รวมทั้งสิ้น 38 แห่ง ห้องพัก 4,574 ห้อง กระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค 5 ประเทศ ประกอบด้วย ภูมิภาค ยุโรป ตั้งอยู่ที่สหราชอาณาจักร

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย (เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่ และจังหวัดภูเก็ต) สาธารณรัฐฟิจิ และสาธารณะรัฐมัลดีฟส์ และในภูมิภาคแอฟริกา ต้ังอยู่ที่สาธารณรัฐมอริเชียส ทั้งนี้โครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 คือ โรงแรม SAii Phi Phi Island Village (จำนวน ห้องพัก 201 ห้อง) และ SAii Laguna Phuket (จำนวนห้องพัก 178 ห้อง)

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย บริษัทมีนโยบายในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน ภายใต้แบรนด์ที่ต่างกัน ซึ่งบริษัทดำเนินงานทั้งด้านการพัฒนาและการบริหารงานขายผ่านบริษัทย่อย

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา มติชน รายงานว่า บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 3,018 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้รายได้รวมดังกล่าวแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย (Residential development) 1,133 ล้านบาท, ธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) 489 ล้านบาท, ธุรกิจโรงแรม (Hospitality) 1,347 ล้านบาท, และธุรกิจอื่น ๆ 49 ล้านบาท

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ธุรกิจที่พักอาศัยเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากรายได้ของ NVD ที่หายไปตั้งแต่ต้นปี 2564 ซึ่งที่ผ่านมารายได้จาก NVD คิดเป็นประมาณกึ่งหนึ่งของรายได้รวมของธุรกิจนี้ อย่างไรก็ดี สัญญาณฟื้นตัวที่น่าพอใจของโครงการคอนโดมิเนียมสะท้อนผ่านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 ปี 2564 ที่สูงสุดในรอบ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา กอปรกับการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจที่พักอาศัยลดลงเพียงร้อยละ 17

ในส่วนของธุรกิจอาคารสำนักงาน สิงห์ เอสเตท สามารถต่อสัญญากับผู้เช่าเดิมได้อย่างต่อเนื่องและปล่อยเช่าพื้นที่เพิ่มเติมได้กว่า 2,100 ตารางเมตร ส่งผลให้อัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยโดยรวมแตะระดับร้อยละ 88 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

อนึ่ง การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงปี 2564 ยังคงกดดันผลประกอบการธุรกิจโรงแรมในภาพรวม โดยโรงแรม 6 แห่งจาก 38 แห่งกลับมาปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อีกครั้ง และอาจเป็นไปได้ที่บางแห่งจะปิดต่อไปถึงสิ้นปีนี้หากสถานการณ์โดยรวมยังไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งแรกของปี ธุรกิจโรงแรมกลับสร้างรายได้เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 17 สาเหตุสำคัญจากการเข้าเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียวใน FS JV ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักร ภายใต้แฟรนไชส์แบรนด์ Mercure ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การเปิดให้เดินทางภายในประเทศได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม กอปรกับฐานลูกค้าหลักของ FS JV เป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ หนุนให้ผลประกอบการของโรงแรมในสหราชอาณาจักรฟื้นตัวต่อเนื่องตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ โดยอัตราการเข้าพักในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ร้อยละ 50 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 16 เดือน และรายได้ของธุรกิจโรงแรมกว่าร้อยละ 41 มาจากพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร

สำหรับครึ่งปีหลัง พัฒนาการที่สำคัญของบริษัทคงจะหนีไม่พ้นการเติมพอร์ตที่อยู่อาศัยแนวราบภายใต้การบริหารของสิงห์ เอสเตท เข้ามาเพื่อต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิ ต่ำเพียง 1.14 เท่า มีส่วนสำคัญในการเอื้อให้บริษัทลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและส่งเสริมให้สิงห์ เอสเตท เติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในระยะยาว

24/8/2564  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (24 สิงหาคม 2564)

Youtube Channel