info@icons.co.th 02 810 8892-6 18.188.175.182

“ส.ขอนแก่น” กางแผนลงทุน ขยายฟาร์มหมู-บุกตลาดสด

Industrial News / ข่าวหมวดงานอุตสาหกรรม

ส.ขอนแก่นกางแผนลงทุนทุ่ม 600 ล้าน ลงทุนธุรกิจฟาร์มหมู เพิ่มฐานการผลิต รุกตลาดร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม-เจาะตลาดสด นำสินค้ากลุ่มหมูยอ-ลูกชิ้น ภายใต้แบรนด์กันเอง เล็งเจาะกลุ่มร้านอาหารมากขึ้น พร้อมเตรียมออกสินค้าใหม่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว ลุยตลาดต่างประเทศ บุกจีน อเมริกา ยุโรป เกาหลี

นายจรัญพจน์ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศ บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ เปิดเผยถึงแผนการลงทุนและการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 ในงาน Opportunity Day (22 ก.ย.) ว่า สำหรับการลงทุนในปีนี้ไปจนถึงสิ้นปีหน้า บริษัทได้วางงบฯลงทุนไว้ 600 ล้านบาท โดยจะใช้ลงทุนในธุรกิจฟาร์มหมูเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันได้มีการเริ่มขยายพื้นที่ฟาร์มที่มีอยู่เดิม ให้มีพื้นที่มากขึ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 นอกจากนี้เพื่อรองรับอัตราการเติบโตของจำนวนหมูขุนในอนาคต บริษัทก็ได้เตรียมมองหาพื้นที่ในการลงทุนฟาร์มใหม่ด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน สำหรับธุรกิจอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกร ในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มมีสินค้าที่เป็นกลุ่มแพ็กไซซ์ใหญ่ ๆ ในกลุ่มอาหารพื้นเมืองไทยภายใต้แบรนด์ ส.ขอนแก่น หมูดี บ้านไผ่ ห้วยแก้ว และหมูแชมป์ ออกมามากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ และในส่วนของกลุ่มขนมขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์อองเทร่ (ENTREE) ในกลุ่มหมูแผ่นก็จะมีการออกสินค้าใหม่ 2 รายการ ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 4 ได้เป็นอย่างดี โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป

ส่วนของธุรกิจร้านอาหาร quick service restaurant (QSR) ช่วงครึ่งปีหลังก็จะมีการร่วมทุนกับพันธมิตรเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ๆ มากขึ้น จากที่ปัจจุบันมีแบรนด์ร้านอาหารอยู่ในเครือ 2 แบรนด์ อาทิ ร้านแซ่บคลาสสิก 11 สาขา และร้านขาหมูยูนนาน 12 สาขา ส่วนธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ก็มีแผนจะลงทุนเครื่องจักรใหม่สำหรับการผลิต เพื่อรองรับช่องทางการส่งออกในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทก็มีแผนขยายธุรกิจเข้าสู่ช่องทางการขายในรูปแบบร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมและตลาดสดมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้เริ่มมีการกระจายสินค้าในกลุ่มหมูยอ ลูกชิ้น ภายใต้แบรนด์ “กันเอง”เข้าไปในตลาดสดบ้างแล้ว รวมถึงมีแผนกระจายกลุ่มสินค้าขนมขบเคี้ยว ออกนอกจากห้าง หรือร้านค้าโมเดิร์นเทรดเพิ่มเติม โดยจะเจาะกลุ่มไปยังร้านอาหารต่าง ๆ ร้านโชห่วยมากขึ้นซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกดิสทริบิวเตอร์ที่จะช่วยในการกระจายสินค้า

สำหรับตลาดต่างประเทศ มีแผนเจาะตลาดต่างประเทศ อาทิ ในกลุ่มสินค้าไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นปลาต่าง ๆ และเพิ่มฐานการผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีตลาดหลักที่บริษัทสนใจ ได้แก่ จีน อเมริกา ยุโรป เกาหลี เป็นต้น จากเดิมที่การขายสินค้าในต่างประเทศ จะอยู่ในโซนไชน่าทาวน์ ประเทศอเมริกาหรือยุโรป โดยจะเน้นเจาะตลาดร้านค้า ร้านอาหารไทยในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีความต่อเนื่องในการซื้อสินค้าสม่ำเสมอมากกว่า

ขณะที่กลุ่มอีคอมเมิร์ซในปีนี้มีแผนขยายตลาดเพิ่มเติม โดยจะเจาะไปยังกลุ่มลูกค้า B2B ร้านค้ารายย่อยต่าง ๆ มากขึ้น โดยจะใช้ช่องทาง TikTok ในการทำการประชาสัมพันธ์ โฆษณากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้คนท้องถิ่นและคนไทยในต่างประเทศสนใจและซื้อผลิตภัณฑ์ของ ส. ขอนแก่นมาบริโภคหรือนำมาประกอบอาหารมากขึ้น รวมทั้งในช่วงไตรมาส 4 บริษัทก็จะมีการลอนช์โปรแกรมใหม่ ที่จะมาช่วยกระตุ้นยอดขายในบางช่องทางของบริษัทด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 782 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด และการจัดโปรโมชั่นร่วมกับห้างโมเดิร์นเทรด ขณะที่ธุรกิจฟาร์มสุกรมียอดขายลดลง 18.63% เนื่องจากราคาตลาดของสุกรมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายกลุ่มอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกรคิดเป็นสัดส่วน 55% ของรายได้จากการขาย มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 13.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปคิดเป็นสัดส่วน 32% ของรายได้จากการขาย มีอัตราการเติบโตลดลง 5.77% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่กลุ่มงานฟาร์มสุกรคิดเป็นสัดส่วน 11% ของรายได้จากการขาย มีอัตราการเติบโตลดลง 19.62% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มงานร้านอาหาร QSR คิดเป็นสัดส่วน 2% ของรายได้จากการขาย มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 4.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงเดินหน้าขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง และจะเน้นการบริหารจัดการภายใน อาทิ เพิ่มการจัดเก็บสต๊อกวัตถุดิบในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งปรับโครงสร้างราคาให้เหมาะสม เพื่อบริหารความเสี่ยงและลดผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงเตรียมวางแผนกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ทั้งนี้มั่นใจว่าจากแผนการลงทุน และทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ไป จะส่งผลให้มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าในช่วงครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน” นายจรัญพจน์กล่าว

29/9/2566  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 29 กันยายน 2566 )

Youtube Channel