แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กางแผนลงทุนใหม่ปี 2566 ตั้งเป้ายอดขาย 35,000 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้ 33,000 ล้านบาท รายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 7,150 ล้านบาท
วันที่ 12 มกราคม 2565 นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สรุปผลดำเนินงานในปี 2565 บริษัทเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท
โดยพัฒนาเป็นสินค้าแนวราบทั้งหมด เทียบกับแผนเดิมที่ตั้งไว้ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 29,520 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นเกือบ 3,000 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัทใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 4,400 ล้านบาท
โดยสัดส่วนยอดขายแบ่งตามประเภทสินค้า ในปี 2565 มีดังนี้ บ้านแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัท โดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม คือ 92% : 8%
เมื่อจำแนกตามพื้นที่ พบว่า มีสัดส่วนยอดขายโครงการในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลเปรียบเทียบกับยอดขายของโครงการในต่างจังหวัด คือ 90% : 10%
สัดส่วนราคาบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วน 54% ของยอดขายรวม ณ ต้นปี 2565 บริษัทมีโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 74 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 44 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ
โครงการที่เปิดใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2565 มีจำนวนทั้งหมด 89 โครงการ มีโครงการปิดการขายระหว่างปี 19 โครงการ
ดังนั้น ณ สิ้นปี 2565 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2566 เป็นจำนวน 70 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 56,300 ล้านบาท
ณ ต้นปี 2566 บริษัทโครงการที่ดำเนินการทั้งสิ้น 70 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 62 โครงการ มูลค่า 47,983 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท
บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 เป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ และเป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 28,460 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท
เมื่อแยกตามประเภทสินค้า (บางโครงการมีสินค้ามากกว่า 1 ประเภท) ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 15 โครงการ, บ้านแฝด 1 โครงการ, ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ, คอนโดมิเนียม 1 โครงการ
ดังนั้น จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2566 มีทั้งหมด 87 โครงการ มูลค่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่า 14,870 ล้านบาท
ประมาณราคาเฉลี่ยต่อหน่วยขายในปี 2566 เท่ากับ 8.8 ล้านบาท (ปี 2565 ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 8.8 ล้านบาท)
นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2562-2564 ตลาดคอนโดมิเนียมหดตัวลงอย่างต่อเนื่องทั้งในด้าน demand (จำนวนหน่วยที่ขายได้) และ supply (จำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่)
อันเป็นผลมาจากมาตรการ LTV ที่บังคับใช้ในช่วงเมษายน 2562 ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การชะลอการเปิดตัวคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม เนื่องจากเป็นการช่วยระบายสินค้าคงเหลือที่ค้างอยู่ในตลาด โดยหน่วยคงเหลือลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ในปี 2563 และลดลงต่อเนื่องในปี 2564
ในปี 2565 เมื่อสถานกาณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลายลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว ทิศทางตลาดคอนโดมิเนียมก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ สะท้อนจากหน่วยขายได้ในช่วงครึ่งปีแรก 2565 เพิ่มขึ้น 137% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564 และจำนวนหน่วยจดทะเบียนในช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค. 2565 อยู่ที่ 32,909 หน่วย เติบโต 16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีความเชื่อมั่นในการเปิดโครงการใหม่ โดยหน่วยเปิดขายใหม่ในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. 2565 มีทั้งหมด 52,000 หน่วย เติบโต 128% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 แต่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังมีความเปราะบาง และยังไม่กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริง บริษัทจึงยังคงระมัดระวังการเปิดโครงการประเภทคอนโดมิเนียม
ปี 2565 บริษัทไม่ได้เปิดคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ เนื่องจากสภาพตลาดและบริษัทต้องการดำเนินการระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือ อย่างไรก็ตาม ยอดขายคอนโดมิเนียมของบริษัทในปี 2565 เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ (ปี 2565 = 2,240 ล้านบาท)
สำหรับปี 2566 คาดว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึง demand จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่น่าจะทยอยกลับมาตามการเปิดประเทศ และการเดินทางที่เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
ในปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท แบรนด์ The Key ศรีนครินทร์ เปิดขายในไตรมาสที่ 3 โดยเป็นการเริ่มเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ นับตั้งแต่ปี 2563
นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน เปิดเผยว่า ด้านการเงินองค์กร ในปี 2565 บริษัทออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.61% ต่อปี
ณ สิ้นปี 2565 คาดว่าหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 51,000 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 96% มีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.24%
สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าปี 2565 เป็นปีที่สถานการณ์ COVID-19 ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง การกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ส่งผลดีบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัท ทั้งในส่วนโรงแรม อพาร์ตเมนต์ และห้างสรรพสินค้าทั้งในประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา
ในปี 2565 บริษัทลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3,700 ล้านบาท ประกอบด้วย พัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 จำนวน 350 ล้านบาท, พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอพาร์ตเมนต์ 3,350 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัท LHMH เปิดดำเนินใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Space Pattayaและศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ขายอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาตามแผนที่ตั้งไว้ เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ FED ดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อมายังราคาขาย
ในปี 2566 บริษัทเตรียมงบฯลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 9,000 ล้านบาท ประกอบด้วยงบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท งบฯลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 3,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 11 โครงการ ด้านบริษัท LH USA มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ
บริษัทมีแผนขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากอง REIT และมีแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100%
อนึ่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า บริษัทดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยธุรกิจในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชมอลล์แอนด์โฮเทล (LHMH)
และธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชยูเอสเอ (LHUSA) โดยประกอบด้วยโครงการห้างสรรพสินค้า โรงแรม อพาร์ตเมนต์และพื้นที่สำนักงานให้เช่า
12/1/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 12 มกราคม 2566 )