การตัดริบบิ้นเปิด ยูนิโคล่ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์อีกครั้ง เมื่อ 28 กันยายน 2566 หลังจากปิดเพื่อรีโนเวตครั้งใหญ่มานานกว่า 1 เดือน เพื่อยกระดับให้เป็นสาขาต้นแบบของการดำเนินธุรกิจ หลังจากแบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาปักธงที่เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นสาขาแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนกันยายน 2554 หรือเมื่อ 12 ปีก่อน
นายโยชิทาเกะ วาคากุวะ ประธานเจ้าหนาที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับยูนิโคล่ และยูนิโคล่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์มีลูกค้าชาวไทย-ต่างประเทศมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก จึงนับเป็นสาขาที่มีความสำคัญอย่างมากกับยูนิโคล่ ทั้งในด้านการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ และการมอบประสบการณ์ให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงไอเท็มไลฟ์แวร์ของเรา
รายงานข่าวจาก บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) หรือ UNIQLO ให้ข้อมูลว่า จากนี้ไปยูนิโคล่มีนโยบายจะขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่อง โดยใช้โมเดลต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเฉพาะเจาะจงในแต่ละพื้นที่ การเปิดยูนิโคล่ โรดไซด์ สโตร์ หรือสาขานอกศูนย์การค้าที่จะทยอยเปิดตามชุมชนย่านต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงยูนิโคล่ ออนไลน์ สโตร์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถช็อปปิ้งออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
จากปัจจุบันที่มีรวมทั้งสิ้นประมาณ 66 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 70% และต่างจังหวัด 30% และในจำนวนนี้เป็นสาขาที่เปิดในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศกว่า 32 สาขา
ภาพที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือเป็นดัชนีที่สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดค้าปลีกของเมืองไทยเป็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่ของจำนวนประชากรและกำลังซื้อ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายหรือรายได้เติบโตได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จึงไม่แปลกใจที่ค่ายค้าปลีกจากญี่ปุ่นที่เข้ามาลงหลักปักฐานแล้วจะยังเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และหัวมืองสำคัญในต่างจังหวัด
สยายปีกบุกต่างจังหวัด
เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของ มูจิ (MUJI) แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นอีกแบรนด์หนึ่ง นายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้สัมภาษณ์ ประชาชาติธุรกิจ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงยุทธศาสตร์รุกตลาดในเมืองไทยว่า ช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 ไปจนถึงช่วงกลางปี 2567 มูจิมีแผนจะเปิดสาขาใหม่ประมาณ 8-10 สาขา และจะมีการขยายสาขาไปต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะเดินหน้าตอกย้ำให้ลูกค้าทุกคนมองว่ามูจิไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์ที่ขายสินค้าในชีวิตประจำวัน แต่เราคือ community ที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้บริการ เพื่อตอบโจทย์ชีวิตในทุก ๆ ด้าน ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์มูจิได้ง่ายและมากขึ้น
ต้องยอมรับว่า ตอนนี้แบรนด์มูจิยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในปริมณฑลและต่างจังหวัด ด้วยเหตุนี้จึงมีแผนจะเปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัดที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น รวมถึงแผนในการเปิดสาขาใหม่ ๆ จะเปิดในอนาคต ที่จะเป็นร้านขนาดใหญ่ ที่มีพื้นที่มากกว่า 1,300-1,500 ตร.ม.ขึ้นไปทั้งหมด เพื่อรองรับสินค้าและบริการใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงคนไทยทุกเพศทุกวัยมากขึ้น
กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล กล่าวต่อว่า ที่สำคัญคือจะขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มนักศึกษา 18-24 ปี และวัยทำงาน อายุ 25-34 ปีให้มากขึ้น รวมถึงการขยายฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ชายมากขึ้น จากปัจุบันลูกค้ามูจิส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิงประมาณ 70% ส่วนในแง่การตลาด มูจิจะให้ความสำคัญกับ influencer marketing และ youtuber มากขึ้น รวมถึงการขยาย social media platform ให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น TikTok และ platform ในกระแสอื่น ๆ ด้วย
เมืองไทยทำเลทองอาเซียน
ไม่ต่างจาก นิโตริ (NITORI) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านยอดนิยมจากญี่ปุ่น ที่เพิ่งเปิดสาขาแห่งแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีแผนจะเร่งเปิดสาขาที่ 2 ที่เซ็นทรัล เวสต์เกต ในช่วงไตรมาส 4/2566 นี้
ทาเคดะ มาซาโนริ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปแผนก Global Merchandising และผู้จัดการทั่วไปแผนก Global Sales Promotion รับผิดชอบส่วนธุรกิจขายต่างประเทศ บริษัท นิโตริ โฮลดิงส์ จำกัด กล่าวว่า นิโตริ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ นับเป็น flagship store สาขาแรกของเราในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งเรามองว่าย่านราชประสงค์เป็นพื้นที่ซึ่งมีความคึกคักตลอดเวลา มีอัตราการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างสูง มีปริมาณลูกค้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้าเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปิดสาขาใหม่ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี และเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวไทย
นอกจากการเปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทยแล้ว นิโตริยังวางแผนที่จะเปิดสาขาแรกในประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และเกาหลีใต้เพิ่มเติมอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ จากเว็บไซต์ นิโตริ ระบุว่า นิโตริวางเป้าขยายสาขาในภูมิภาคอาเซียน อาทิ มาเลเซีย 20 สาขา สิงคโปร์ 10 สาขา และไทย 200 สาขา
นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้ก็มี นิโกะ แอนด์ (niko and ) แบรนด์ร้านรวมสินค้าไลฟ์สไตล์ เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง ผู้ชาย ของใช้ในครัวเรือน เฟอร์นิเจอร์ อาหารและเครื่องดื่ม เป็นอีกแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งจากญี่ปุ่นเข้ามาปักธงในไทย และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการยึดทำเลทอง สยาม สแควร์วัน โดยเปิดเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ฮิเดโอะ คิมูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อะดาสเตรีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ร้าน niko and เลือกเปิดแฟลกชิปสโตร์ที่ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากไทยมีความใกล้เคียงกับตลาดในประเทศญี่ปุ่น
สาขาแรก วางรูปแบบร้านมีพื้นที่ 4 ชั้น ขนาด 999 ตร.ม. เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มคนวัยรุ่นที่ชื่นชอบสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ และกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีความสนุกกับกลุ่มสินค้าแฟชั่นแบบไม่จำกัดอายุ นอกจากนี้ ยังวางแผนจะเปิดใหม่อีก 5 สาขาภายใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยจะเน้นช็อปขนาดใหญ่และทำเลในเมือง รวมทั้งมีแผนจะขยายสู่การเปิดช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ
ความเคลื่อนไหวและแผนการลงทุนเพื่อขยายสาขาของห้างแบรนด์ดังจากญี่ปุ่นดังกล่าว ไม่เพียงจะทำให้ตลาดค้าปลีกมีความคึกคักมากขึ้น แต่เมื่อบวกกับปัจจัยทางเศรษฐกิจของประเทศที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น การมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดทัพการลงทุนระลอกใหม่เข้ามาได้อีกมาก
จากนี้ไปอีกไม่นานเกินรอจะมีห้างญี่ปุ่นแบรนด์ใหม่ ๆ อีกหลายค่ายทยอยตามเข้ามาเปิดตัวและปักธงในเมืองไทยกันเป็นระยะ ๆ
28/9/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 28 กันยายน 2566 )