info@icons.co.th 02 810 8892-6 216.73.216.33

L&H-สิงห์ ผุดบ้านหรู 500ล้าน เกมดุบิ๊กอสังหา สวนกระแสเศรษฐกิจ

Residential News / ข่าวหมวดที่พักอาศัย

ตลาดบ้านหรู 100 ล้านแข่งดุสวนกระแสเศรษฐกิจตกต่ำ เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง เงินไม่หนา-มือไม่ถึงหมดสิทธิแจ้งเกิด บิ๊กอสังหาฯ “แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์-สิงห์ เอสเตท” ซุ่มผุดบ้านหรู 200-500 ล้าน หลังจาก “แสนสิริ-SC-AP” แข่งชิงดำหลังยุคโควิดถึงปัจจุบัน เผยเทรนด์ใหม่ซื้อลงทุนให้เช่ารับผลตอบแทนอู้ฟู่เดือนละ 5 แสน-2 ล้านบาท

โค้งสุดท้ายไตรมาส 3/68 มีปรากฏการณ์ค่ายเอสซีฯ สร้างความฮือฮาให้กับตลาดบ้านหรู หลังปิดการขายบ้านตัวอย่างโครงการ SONLE Residences หลังละ 460 ล้านบาท ให้กับเศรษฐีชาวไทยรายหนึ่ง สร้างกระแสการพูดถึงอย่างมาก

ค่าเช่าเดือนละ 5 แสน-2 ล้าน

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดบ้านจัดสรรราคาหลังละ 100 ล้านบาทขึ้นไป (Ultimate Class) ในปี 2568 ยังคงเติบโตทั้งดีมานด์และซัพพลาย โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยระดับบน นักลงทุน และความต้องการเช่าของชาวต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าภาวะการแข่งขันตกอยู่ในมือของบิ๊กแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะมีเงินทุนที่แข็งแกร่ง สั่งสมโนว์เลดจ์และโนว์ฮาวอยู่ตลอดเวลา

ส่วนเหรียญอีกด้านนอกจากซื้อเพื่ออยู่อาศัย เทรนด์ใหม่นักลงทุนให้ความสนใจสูงขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากการปล่อยเช่า ข้อมูลสำรวจพบว่าได้รับผลตอบแทนค่าเช่าตั้งแต่ 500,000-2,000,000 บาทต่อเดือน ถือว่าสูง และเป็นตลาดที่นักลงทุนสนใจ

ราคาเฉลี่ยหลังละ 148 ล้าน

ในรอบ 10 ปี (2559-2568) มีบ้านหรูราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป เปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ 357 ยูนิต มูลค่ารวม 52,836 ล้านบาท เฉลี่ยราคาหลังละ 148 ล้านบาท ช่วงพีกของเซ็กเมนต์บ้านเกินร้อยล้านบาทเกิดขึ้นหลังยุคโควิดปี 2565 ที่เปิดขายสูงถึง 118 หลัง

ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2568) มีการเปิดขายใหม่ 18 หลัง เพราะผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2568 มีซัพพลายบ้าน 100 ล้านบาทขึ้นไปที่อยู่ระหว่างการขาย 147 ยูนิต มูลค่ารวม 21,756 ล้านบาท ขายไปแล้ว 82 หลัง คิดเป็นสัดส่วน 55.78% มูลค่าขายได้ 12,136 ล้านบาท เป็นซัพพลายรอขาย 65 หลัง มูลค่า 9,620 ล้านบาท

แพ็กเกจในการพัฒนาโครงการ ดีไซน์เป็นบ้านเดี่ยว 2-3 ชั้น บนที่ดิน 100-400 ตารางวา ตัวบ้านมีพื้นที่ใช้สอย 500-1,900 ตารางเมตร เป็นตลาดที่โดดเด่นและน่าจับตาเป็นอย่างมากในปีนี้ แนวโน้มจะเห็นว่าบ้านร้อยล้านมักตั้งอยู่บนที่ดินที่มีขนาดเล็กลง เนื่องจากราคาที่ดินในกรุงเทพฯ

“ราคาที่ดินอัพเดตในปีนี้ เขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีอัตราแพงขึ้น 5-10% ต่อปี เพราะมีดีมานด์ซื้อรออยู่ โฟกัสโซนกรุงเทพกรีฑา, บางนา, สุขสวัสดิ์-พระราม 3 หรือโซนริมแม่น้ำเจ้าพระยา”

เทรนด์ใหม่เศรษฐีอายุ 30 ปี

“ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ที่มองหาบ้านในระดับนี้ จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ต้องการความแตกต่างและความโดดเด่น เป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ และมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสามารถส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้”

ข้อมูลเซอร์ไพรส์มาจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในปัจจุบัน เริ่มได้รับความนิยมจากกลุ่มเศรษฐีคนรุ่นใหม่และนักธุรกิจรุ่นใหม่ อายุ 30 ปีขึ้นไป ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเร็ว จะเห็นว่าช่วงอายุเริ่มน้อยลง จากเดิมลูกค้าหลักของตลาดบ้านร้อยล้านจะเป็นกลุ่มอายุ 45-50 ปีขึ้นไป

พฤติกรรมการซื้อก็มีการเปลี่ยนแปลง โดยกลุ่ม Young Gen ที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจโลกใหม่ มีความสามารถในการซื้อบ้านร้อยล้าน และมีความต้องการที่หลากหลาย บางส่วนเลือกที่จะซื้อบ้านเพื่อใช้เป็นพื้นที่รองรับการทำคอนเทนต์หรือกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงซื้อเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อผลตอบแทนในระยะยาว

8 โซนหลักกระจายทั่วกรุง

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์สฯพบว่า ทำเลหลักกระจุกตัวอยู่ใน 8 โซนหลัก ได้แก่ 1.ราชพฤกษ์ 2.ปิ่นเกล้า 3.บรมราชชนนี 4.เพชรเกษม-กาญจนาภิเษก 5.บางนา 6.พระราม 9 7.เลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา และ 8.กรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

จุดเน้นอยู่ที่เป็นทำเลที่มีการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐและมีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ต้องการบ้านในทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยเฉพาะทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า ทำให้การเดินทางสะดวกกว่าเดิม ทำให้สามารถปิดการขายได้รวดเร็วขึ้น

ดังนั้น ทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตและการพัฒนาระบบคมนาคม รวมถึงความใกล้ชิดกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจและมองเห็นเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดบ้านหรูระดับราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป

ในด้านซัพพลายบ้านร้อยล้าน สัดส่วน 41.14% กระจุกตัวอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ ชั้นใน เช่น “สุขุมวิท อารีย์ พระราม 9-พัฒนาการ” ตามมาด้วยพื้นที่ชานเมืองฝั่งตะวันตก เช่น “ราชพฤกษ์ ปิ่นเกล้า” มีสัดส่วน 33.71% ของซัพพลายรวมทั้งหมด

“บ้านร้อยล้านมีอัตราการขาย 55.78% เหลือยูนิตรอการขายเพียงแค่ 65 หลังเท่านั้น แนวโน้มคาดว่าซัพพลายเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกดูดซับ เนื่องจากความต้องการของผู้ซื้อยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง มาจากผู้ซื้อชาวไทยที่มีฐานะมั่งคั่ง เจ้าของธุรกิจและบุคคลสำคัญ ขณะที่ความสนใจจากชาวต่างชาติมีอยู่บ้าง แต่หดตัวลงอย่างชัดเจนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อลูกค้าจีนที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ”

ท็อป 5 บิ๊กอสังหาฯ ลงสนาม

นายภัทรชัยกล่าวว่า แนวโน้มซัพพลายยังมีออกมาต่อเนื่อง ตราบใดที่บิ๊กแบรนด์อสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงให้ความสำคัญกับสินค้าในเซ็กเมนต์นี้ อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการ LADAWAN ปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี ราคาเริ่มต้นหลังละ 200 ล้านบาท, ล่าสุดทาง บมจ.แสนสิริ ที่ประกาศเปิดขายโครงการ นาราสิริ วิคตัวร์ กรุงเทพกรีฑา โดยหลังแพงสุดในโครงการราคาขายสูงถึง 120 ล้านบาท

ทั้งนี้ สถิติท็อป 5 ที่พัฒนาบ้านร้อยล้านขึ้นไป มีดังนี้ 1.บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีซัพพลายในสัดส่วน 42.21% 2.บมจ.แสนสิริ สัดส่วน 23.56% 3.บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ สัดส่วน 14.23% 4.บมจ.สิงห์ เอสเตท สัดส่วน 10.99% และ 5.บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) สัดส่วน 9.01%

“ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนแบ่งตลาดของผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดบ้านร้อยล้าน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อศักยภาพสูง ในตลาดที่ยังคงมีการแข่งขันรุนแรงในปัจจุบัน”

8/10/2568  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 8 ตุลาคม 2568 )

Banner Ads