มิตซูบิชิ ลั่นใช้ไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์กลุ่ม xEV หลังขอส่งเสริมการลงทุน 5,480 ล้านบาท ใช้โรงงานแหลมฉบัง ประเดิมขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์นั่ง ไฮบริด 2 รุ่น ทั้งเอ็กซ์แพนเดอร์ ไฮบริด และ SUV รุ่นใหม่ ลุ้นเปิดตัวปลายปีนี้-ต้นปีหน้า
แหล่งข่าวระดับบริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับปรุงโรงงานผลิตรถยนต์มิตซูบิชิแหลมฉบัง เพื่อเพิ่มไลน์ประกอบรถยนต์ไฮบริด โดยจากนี้ไปรถยนต์ในกลุ่มพลังงานใหม่ (xEV) ของมิตซูบิชิ จะใช้ฐานการผลิตจากประเทศไทยเป็นหลัก
โดยมิตซูบิชิ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ เมื่อช่วงต้นปี 2563 โดยบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี สำหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยมีกำลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี
แบ่งเป็น รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles-BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles-HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียนด้วย
ตอนนี้รถยนต์กลุ่ม xEV ของมิตซูบิชินั้นจะใช้ฐานการผลิตจากประเทศไทย แม้ว่ารถทั้ง 2 รุ่นที่เตรียมแนะนำ Xpander และ XFORCE ฐานผลิตหลักจะอยู่ในอินโดนีเซีย แต่หากเป็นรุ่นไฮบริดนั้น จะใช้ฐานผลิตในประเทศไทยเท่านั้น หรือให้เข้าใจได้ง่ายคือไทยจะเป็นฮับรถยนต์พลังงานใหม่ของมิตซูบิชิ และเป็นแห่งแรกนอกญี่ปุ่น
ซึ่งสอดคล้องกับ นายเออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ โดยบริษัทมีแผนที่จะเดินหน้าลงทุน เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า หรือ xEV ในประเทศไทยต่อเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ราวต้นปี 2567 ซึ่งถือเป็นการดำเนินการต่อเนื่องหลังจากสิ้นสุดมาตรการการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ เฟส 2
โดยบริษัทจะเดินหน้าเพื่อพัฒนาในกลุ่มรถยนต์ กลุ่มพลังงานไฟฟ้า (xEV) โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อรองรับความต้องการในประเทศและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียนต่อไป โดยบริษัทได้มีการขอรับการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ในส่วนของเทคโนโลยีไฮบริด ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเริ่มส่งรถยนต์นั่งอเนกประสงค์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดได้อย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก (มินิเอสยูวี) และรถยนต์นั่งแบบ เอสยูวี หรือ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ (Mitsubishi Xpander) ก่อน
ส่วนกลุ่มรถปิกอัพขนาด 1 ตัน ในกลุ่มพลังงานใหม่ ปัจจุบันฐานการผลิตในประเทศไทยรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีในกลุ่มพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถกระบะ และมิตซูบิชิเองยอมรับว่าได้มีการพัฒนารถกระบะที่มีเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอยู่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในทุกเทคโนโลยี ทั้งไฮบริด, ปลั๊ก-อินไฮบริด และแบตเตอรี่ไฟฟ้า 100% ทั้งนี้ มิตซูบิชิต้องพิจารณาความต้องการของลูกค้าและตลาดด้วยว่าต้องการรถยนต์ไฟฟ้ามิตซูบิชิแบบไหน และขอยืนยันว่า มิตซูบิชิ ไทรทัน ไฮบริด จะยังไม่มาในปีหน้าแน่นอน
นายโคอิโตะยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มิตซูบิชิ ออลนิวไทรทัน ที่เพิ่งเปิดตัวไป บริษัทตั้งเป้าการผลิตสูงสุด 200,000 คัน เพื่อจำหน่ายมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก แบ่งสัดส่วนจำหน่ายในไทยและส่งออก 20% และ 80% ตามลำดับ โดยปีหน้ามีเป้าหมายหลังเปิดตัวมิตซูบิชิ ไทรทัน โมเดลใหม่ รวมกับทุกรุ่นที่ขาย คาดหวังมาร์เก็ตแชร์จะเติบโต 2 หลักขึ้นไป จากเมื่อปีที่แล้วทำยอดขายมิตซูบิชิ ไทรทัน ไปได้รวม 20,000 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 5-6%
ขณะที่ยอดขายในปีนี้ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่ายังต่ำกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก เป็นผลมาจากหลากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการเมือง ที่ทำให้ทั้งประชาชน และนักลงทุนชะลอการตัดสินใจ และจับตามองอย่างระมัดระวัง รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น หลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่มิตซูบิชิเชื่อมั่นว่า ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้จะเกิดเป็นเหตุการณ์ระยะสั้น อีกทั้งยังมีอุตสาหกรรมอื่นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจบางตัวยังดีอยู่มาก เรียกว่าตลาดรถยนต์ชะลอตัวแต่ไม่ถึงกับวิกฤต ทั้งนี้ เดิมเมื่อต้นปีประเมินยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทยไว้ที่ 870,000-900,000 คัน แต่ถึงวันนี้แล้วมองว่าไม่น่าจะถึง คงต้องรอประเมินตลาดอีกระยะ เนื่องจากมีรถยนต์รุ่นใหม่ รวมทั้งมิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคักมากขึ้น
13/8/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 13 สิงหาคม 2566 )