บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ ผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนชั้นนำ พร้อมรุกขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพ กำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่จากพลังงานทดแทนอีก 10,193 MW ภายในปี 2573 เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีและความมั่นคงทางพลังงานในอนาคต
วันที่ 1 มีนาคม 2565 นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า บริษัทมีจุดแข็งจากการเป็นหนึ่งในกลุ่มท่าฉางอุตสาหกรรม ผู้ประกอบธุรกิจโรงสกัดนํ้ามันปาล์มรายใหญ่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีผลพลอยได้จากการผลิต (by product) เป็นวัตถุดิบชีวมวลจากปาล์มจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ทำให้เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล
นักวิทย์มุ่งไขปริศนา ทำไมบางคนจึง ไม่ติดโควิด ทั้งที่อยู่กลางวงคนป่วย
ราคาทองวันนี้ (9 มี.ค.) พุ่งขึ้น 850 บาท รูปพรรณขายออกบาทละ 32,450 บาท
ตรวจ RT-PCR ฟรี กทม.-ต่างจังหวัด เช็กเงื่อนไข ช่องทางติดต่อ
พงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล
โดยได้เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตั้งแต่ปี 2557 จนกระทั่งในปี 2562 จึงได้ขยายการเติบโตไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ซึ่งเป็นธุรกิจที่สามารถต่อยอดจากธุรกิจเดิมของบริษัท และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจากนโยบายสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามแนวทาง Green Energy หรือพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจของบริษัทเป็นธุรกิจที่อยู่ในเมกะเทรนด์ของโลก และสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งจากแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดภายใต้แผนพัฒนาการกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย 2018 ปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Revision 1) ฉบับล่าสุด กำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็นจำนวน 10,193 เมกะวัตต์ (MW) โดยเน้นการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
ดังนั้น จะทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศไทยจะเพิ่มเป็น 34.23% ภายในปี 2573 เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะสูงสุด (Peak) ในปี 2580 ที่ 53,997 MW หรือคิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 367,458 ล้านหน่วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้นส่งผลบวกต่อธุรกิจผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงพลังงานทางเลือก เช่น ขยะชุมชน ก๊าซชีวภาพ และเชื้อเพลิงชีวมวล ฯลฯ ที่เข้ามาทดแทนแหล่งพลังงานดั้งเดิมอย่างถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลงในอนาคต
นายพงศ์นรินทร์กล่าวต่อว่า บริษัทในฐานะผู้นำด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2 ประเภท ได้แก่ 1) โรงไฟฟ้าชีวมวล จากวัตถุดิบหลักประเภททะลายปาล์มเปล่า เส้นใยปาล์ม และจากการเกษตรกรรม เช่น ไม้ชิป รากไม้สับ เป็นต้น และ 2) โรงไฟฟ้าขยะชุมชน ทำให้บริษัทจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของความต้องการใช้พลังงานในประเทศ และนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม บริษัทมีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ โดยใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ
นายศักดิ์ดา ศิริภัทรโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TGE, TPG และ TBP ในอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 MW และปริมาณไฟฟ้าเสนอขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาระยะยาวรวม 20.3 MW รับรู้รายได้รูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) และจะได้รับ FiT Premium เป็นระยะเวลา 8 ปีแรกนับจากวัน COD
ดร.ศักดิ์ดา ศิริภัทรโสภณ
ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโรงไฟฟ้าประเภท VSPP ที่ใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตแบบเผาไหม้โดยตรง (Direct Combustion) ด้วยการนำวัตถุดิบชีวมวลที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ ทะลายปาล์ม เส้นใยปาล์ม รากไม้สับ ต้นปาล์มสับ เป็นต้น มาเป็นเชื้อเพลิงป้อนเข้าสู่เตาเผา
ทั้งนี้ บริษัทมีโรงไฟฟ้าขยะชุมชนอีก 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES SKW จังหวัดสระแก้ว, โรงไฟฟ้า TES RBR จังหวัดราชบุรี และโรงไฟฟ้า TES CPN จังหวัดชุมพร ซึ่งได้รับเลือกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว และอยู่ระหว่างพัฒนา โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 22 MW และปริมาณไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวมประมาณ 16 MW คาดว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะออกระเบียบรับซื้อไฟฟ้าและทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในไตรมาส 1/2565 และเริ่ม COD ได้ภายในปี 2567 จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มเป็น 51.7 MW และมีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวม 36.3 MW
ขณะที่แผนการขยายธุรกิจเพื่อเติบโตในระยะยาว บริษัทเตรียมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนกับ อปท. อีก 4 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES PRI จ.ปราจีนบุรี, โรงไฟฟ้า TES CNT จ.ชัยนาท, โรงไฟฟ้า TES UBN จ.อุบลราชธานี และโรงไฟฟ้า TES TCN จ.สมุทรสาคร คาดว่าหากได้รับคัดเลือกจาก อปท. ที่เกี่ยวข้องให้เป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการในปี 2565 จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2569 และคาดว่ากำลังผลิตติดตั้งรวมของบริษัทในอีก 4 ปีข้างหน้า ภายหลังทั้ง 4 โครงการเริ่มดำเนินการแล้ว จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็น 90 MW
นอกเหนือจากโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน เรามีนโยบายที่จะขยายการลงทุนไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และก๊าซชีวภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 200 MW ภายในปี 2575 รวมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาขยายธุรกิจเพิ่มเติมไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตไฟฟ้า เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้จุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
1/3/2565 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (1 มีนาคม 2565)