ส่องรายได้ 5 บริษัทอสังหาฯ เบอร์ต้น ๆ ของประเทศไทย หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 ด้าน AP Thailand ครองอันดับ 1 กวาดรายได้กว่า 13,650 ล้านบาท
ด้วยสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ทั้งด้านรายได้ของประชากรในประเทศเป็นผลให้การขอสินเชื่อในการซื้อบ้านสักหลังมีความยากลำบาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละบริษัทจะแข่งขันกันในการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบกับตัวบริษัทเองที่ต้องเผชิญหน้ากับรายได้ที่น้อยลง รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกเป็นหนึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลให้รายได้ที่ควรจะสะพัดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคการกักตุนเงินไว้ไปใช้กับอย่างอื่นที่อาจมีความจำเป็นมากกว่า
ประชาชาติธุรกิจ รวมผลประกอบการไตรมาส 3/2567 และภาพรวมสำหรับ 9 เดือนแรกในปีนี้ของ 5 บริษัทอสังหาฯ อันดับต้น ๆ ของประเทศไทยไว้ ดังนี้
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มีรายได้ในไตรมาส 3/2567 รวม 13,650 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% และกำไรสุทธิ 1,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 14% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยกลุ่มสินค้าแนวราบของเอพียังคงเป็นโปรดักต์ไฮไลต์ในฐานะผู้นำตลาดแนวราบที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านแฝด ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวเครือเอพี ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าครอบครัวเมืองในเซกเมนต์ Luxury Main Class อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กลุ่มคอนโดมิเนียม ที่ถือเป็นอีกหนึ่งคีย์ไดรฟ์สำคัญ สนับสนุนการเติบโตทางรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง และล่าสุดกับการปิดโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมเข้าอยู่ใหม่ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม มูลค่า 3,200 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย
รวมไปถึง LIFE พระราม 4 อโศก ที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในเฟสแรกได้ทะลุเป้ากว่า 30% จากมูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท และยังคงได้รับการตอบรับเข้าโอนกรรมสิทธิ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/67 ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึง Real Demand ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อโครงการคุณภาพในเครือเอพี และตอกย้ำความแข็งแกร่งของเราในฐานะบริษัทอสังหาอันดับหนึ่ง
ทั้งนี้ภาพรวมรายได้ 9 เดือนปี 2567 บริษัทมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นด้วยรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ที่สูงถึง 34,780 ล้านบาท และกำไรสุทธิเท่ากับ 3,727 ล้านบาท
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีรายได้ไตรมาส 3/2567 รวมกว่า 9,752.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,663.93 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 38% แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและทาวน์เฮ้าส์ 55% และที่เหลือ 45% เป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด ในปีนี้บริษัทฯ มีโครงการอาคารชุดที่สร้างเสร็จและครบกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด 5 โครงการ โดยมีโครงการอาคารชุด 4 โครงการที่เริ่มทยอยโอนตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 และโอนต่อเนื่องมาตลอดไตรมาส 3
ทั้งนี้รายได้ทั้งหมดใน 9 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 22,083.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,263.86 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 6% แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและทาวน์เฮ้าส์ 64% และที่เหลือ 36% เป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 3,108.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 354.31 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 13%
อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทฯและบริษัทย่อยคิดเป็น 13.6% เมื่อเทียบกับรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 12.8%
นอกจากนี้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมสำหรับ 9 เดือนปี 2567 เท่ากับ 276.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 79.28 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 40% เนื่องจากการร่วมค้าและบริษัทร่วมในประเทศออสเตรเลียมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการเพิ่มขึ้น
จากเหตุผลข้างต้นทำให้ผลประกอบการสำหรับงวดเก้าเดือนของปีนี้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 4,201.25 ล้านบาท ขณะที่ในงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 3,971.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 229.40 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6%
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีรายได้ไตรมาส 3/2567 กว่า 9,415 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายโครงการแนวราบ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรดักส์ รวมจำนวน 5,527 ล้านบาท (67%) ของรายได้ทั้งหมด และได้รับกำไรจากการขายที่ดินจำนวน 70 ล้านบาท
สำหรับกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น) มีจำนวน 1,307 ล้านบาท ลดลง 16.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายและต้นทุนบางส่วนถูกชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดลง โดยรายได้ทั้งหมดในไตรมาส 3/67 ประกอบด้วย
โครงการบ้านเดี่ยวกว่า 3,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% หรือ 105 ล้านบาทจากปีก่อน รายได้หลักมาจากโครงการบูก้าน กรุงเทพกรีฑา, โครงการเศรษฐสิริ ดอนเมือง, โครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา, โครงการเศรษฐสิริ บางนา-สุวรรณภูมิ และโครงการเศรษฐสิริ วงแหวน-จตุโชติ โดยรายได้จากทั้ง 5 โครงการนี้คิดเป็น 18% ของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด
โครงการมิกซ์ โปรดักส์กว่า 929 ล้านบาท เติบโต 25.6% หรือ 190 ล้านบาทจากปีก่อน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการอณาสิริ พายัพ, โครงการอณาสิริ สรงประภา, โครงการอณาสิริ ป่าคลอก และโครงการ อณาสิริ รังสิต-คลอง 3
โครงการทาวน์โฮมกว่า 861 ล้านบาท ลดลง 11.2% หรือ 109 ล้านบาทจากปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากโครงการเดมี่ สาธุ 49 และรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียม ลดลง 5.2% หรือ 150 ล้านบาท จากปีก่อน เป็น 2,759 ล้านบาท รายได้หลักมาจากโครงการเดอะ เบส ไฮท์-เชียงใหม่, โครงการเอ็กซ์ที่ พญาไท, โครงการเวย์ โพธิสาร, โครงการดี คอนโด รีฟ ภูเก็ต และโครงการเอดจ์ พัทยากลาง โดยรายได้รวมคิดเป็น 21% ของรายได้จากโครงการทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากโครงการเพื่อเช่าจำนวน 29 ล้านบาท ลดลง 34.4% หรือ 15 ล้านบาทจากปีก่อน ส่งผลให้รายได้จากโครงการเพื่อเช่างวด 9 เดือนอยู่ที่ 108 ล้านบาท ลดลง 20.3% หรือ 28 ล้านบาท
ทั้งนี้ภาพรวมรายได้ 9 เดือนปี 2567 อยู่ที่ 28,877 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4.7% หรือ 1,299 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักมากจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ) 9 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 4,009 บาท ลดลง 15.8% หรือ 751 ล้านบาท เป็นผลมาจากการบันทึกกำไรจากการขายที่ดินและทรัพย์สินที่ลดลง
บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) มีรายได้ในไตรมาส 3/2567 และ 9 เดือนแรก จากการขายอสังหาริมทรัพย์กว่า 4,620 และ 12,930 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.9 และ 23.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ ขณะที่กำไรในไตรมาส 3/2567 และ 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 373 และ 753 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.6 และ 63.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ
บริษัทฯ ชี้แจงสาเหตุหลักที่ทำให้รายได้ลดลง มาจากผลกระทบด้านกำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งสะท้อนไปยังความสามารถในการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้รายได้จากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในช่วงราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอขึ้นโครงการคอนโดนิเนียมในช่วงโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทขาดความต่อเนื่องของการรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดมิเนียมเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่เหตุผลที่ทำให้กำไรลดลงเกิดจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการแข่งขันและการใช้กลยุทธ์ด้านราคา การเร่งมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และผลขาดทุนจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าจากการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรในไตรมาส 3/67 จำนวน 649.62 ล้านบาท ลดลงกว่า 45.20% เมื่อเทียบกับปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกันด้วยกำไรจำนวน 1,185.40 ล้านบาท ลดลงกว่า 535.78 ล้านบาท โดยทางบริษัทฯ ได้แจกแจงเหตุผลไว้ ดังนี้
ไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 3,441.67 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ของปีก่อนมีรายได้จากการขายเท่ากับ 4,450.85 ล้านบาท ลดลง 1,009.18 ล้านบาท คิดเป็น 22.67%
ไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเท่ากับ 21.06 % ขณะที่ไตรมาส 3 ของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเท่ากับ 26.31% อัตรากำไรขั้นต้นลดลงร้อยละ 5.25 ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่ลดลง ในขณะที่ต้นทุนทางอ้อมไม่ได้ลดลงตามยอดขาย
เหตุผลดังกล่าวทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ลดลงจำนวน 446.23 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายได้จากการขายทั้งหมด 3,441.67 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากบ้านเดี่ยว 85%, ทาวน์เฮ้าส์ 7.6% และคอนโดมีเนียม 7.4%
ทั้งนี้ภาพรวมรายได้ 9 เดือนของปี 2567 มีรายได้กว่า 12,233.48 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อนกว่า 2,059.72 ล้านบาท คิดเป็น 14.41% ในส่วนของกำไรสุทธิจำนวน 2,897.67 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีจำนวน 3,989.10 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนกว่า 1,091.43 ล้านบาท คิดเป็น 27.36%
20/11/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 20 พฤศจิกายน 2567 )