พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ เผยกำไรสุทธิและรายได้รวม 10 บริษัทอสังหา ปี 2566 รุกเปิดตลาดบ้านแนวราบราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ลดแรงกระทบบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท เนื่องจากการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินที่มีความเข้มงวด ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทยต้องคิดให้รอบคอบ ถือเป็นความท้าทายของตลาดธุรกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด (Property DNA) บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ปี 2566 เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจทุกประเภท แม้ว่าปัจจัยเรื่องโรคระบาดที่มีผลต่อการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศจะไม่มีแล้วก็ตาม
แต่ด้วยผลกระทบจากช่วงที่เกิดโรคระบาดปี 2563-2565 มีผลต่อเนื่องถึงการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิต ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ ประกอบกับการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินมีความเข้มงวดมาก และกระทบกับกลุ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทขึ้นมาถึงระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต
ทำให้ผู้ประกอบการมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจทั้งการลดการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม และเพิ่มสัดส่วนในโครงการบ้านจัดสรร รวมไปถึงการเพิ่มโครงการราคาแพงออกมาขายมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการบางรายได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้ซื้อระดับบน
นอกจากนี้มีการเร่งปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วหรือกำลังจะเสร็จ เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้เงินสดเข้ามาหมุนเวียนในบริษัทมากขึ้นซึ่งปัจจัยความท้าท้ายต่าง ๆ เหล่านี้ กลุ่มผู้ประกอบการมีแนวทางการบริหารจัดการที่ดี เมื่อผลประกอบการออกมา ผู้พัฒนาอสังหาฯ บางรายมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2565 แม้ว่า ณ ปัจจุบันยังมีการประกาศออกมาไม่ครบทุกบริษัท แต่สามารถพิจารณาได้ว่าผู้ประกอบการรายใดมีผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของรายได้ และกำไร
ตามข้อมูลพบว่าแสนสิริเป็นผู้ประกอบการที่มีกำไรในปี 2566 มากที่สุด โดยมีกำไร 6,060 ล้านบาทเพิ่มขึ้นประมาณ 42% เมื่อเทียบกับปี 2565 รายได้ของแสนสิริอยู่ที่ 39,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% จากปีที่แล้ว
เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้และกำไรเป็นอันดับที่ 2 คือ มีรายได้ 38,399 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 เฉลี่ย 1% มีกำไรที่ 6,054 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% ซึ่งทั้งแสนสิริ และเอพีในปีที่ผ่านมา นอกจากจะเปิดขายโครงการใหม่จำนวนมากแล้ว ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้าน และคอนโดมิเนียมต่อเนื่อง รวมไปถึงการเร่งปิดการขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้โครงการราคาแพงของทั้ง 2 บริษัทยังได้รับการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะแสนสิริที่หลายโครงการปิดการขายได้ภายในระยะเวลาไม่นาน แม้ว่าราคาขายเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท
ศุภาลัย มีกำไรและรายได้มาเป็นอันดับที่ 3 รายได้ปี 2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาทลดลง 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาทลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้นายสุรเชษฐยังให้ความเห็นว่า หลายบริษัทมีรายได้มากขึ้นและเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้มากมายนักเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการบางรายที่มีทั้งรายได้และกำไรอันดับต้น ๆ ที่เห็นได้ชัดเจน คือ กำไรที่ลดลงซึ่งอาจเกิดจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการหรือกิจกรรมทางการขายที่มากขึ้น รวมไปถึงการลดราคาหรือยอมขาดทุน เพื่อที่จะได้ปิดการขายได้ จึงอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กำไรของผู้ประกอบการบางรายลดลง
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้และกำไรอยู่ ไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่ขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการบางราย อาทิ บริษัท คิวเฮ้าส์ มีกำไรมากแต่รายได้เฉลี่ยลดลง เนื่องจากมีรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ แม้ว่าจะเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ 5 อันดับแรก
ซึ่งผลประกอบการด้านบนนี้ ยังไม่ได้รวมแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ที่หลายปีที่ผ่านมาเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ แต่รายได้จากธุรกิจอื่น ๆ ของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์มีค่อนข้างมาก ดังนั้น เป็นไปได้ที่รายได้ และกำไรในปี 2566 อาจจะมากกว่าผู้ประกอบการหลายรายในตลาด
นายสุรเชษฐกล่าวว่า รายได้และกำไรที่ลดลงของผู้ประกอบการบางรายในปี 2566 ยังคงมีช่องทางในการพลิกกลับมาในปี 2567 เพราะผู้ประกอบการบางรายมีการประกาศแผนการเปิดขายโครงการใหม่ออกมาแล้ว โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายมีการเปิดขายโครงการมากขึ้น และปัจจัยลบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลง
อีกทั้งมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองของที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาทยังคงมีต่อเนื่องในปี 2567 ซึ่งถือเป็นข่าวดีของผู้ประกอบการที่มีโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2567 อีกทั้งกำลังซื้อต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น ทั้งคนจีน รัสเซีย และพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
1/3/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 1 มีนาคม 2567 )