info@icons.co.th 02 810 8892-6 3.237.15.145

ครึ่งทาง “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” บาลานซ์พอร์ต 33,000 ล้านก่อนลงทุนใหม่

Industrial News / ข่าวหมวดงานอุตสาหกรรม

ผ่านมาเกินครึ่งทางปี 2567 ของพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ตระกูลพูลวรลักษณ์ “ค่ายเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์”

ล่าสุด เปิดตัวเลขยอดขายหรือยอดพรีเซล 7 เดือนแรก มีผลตอบรับมูลค่าทะลุ 8,000 ล้านบาท จากโปรเจ็กต์ที่ยังแอ็กทีฟหรืออยู่ระหว่างเปิดขาย จำนวน 13 โครงการด้วยกัน

เรื่องใหม่ของครึ่งปีหลัง มาจากการแบไต๋โซนลงทุนโครงการใหม่ ที่ประกาศปักหมุด 3 โซนดัง “พร้อมพงษ์-เจริญกรุง-กรุงเทพกรีฑา” ที่บริษัทเตรียมความพร้อมในการขยับขยายการลงทุนเพิ่มเติม ภายใต้ผู้บริหารหลักของตระกูล ประกอบด้วย “เพชรลดา พูลวรลักษณ์” และ “ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์” กรรมการผู้จัดการของเมเจอร์ฯ

7 เดือนกำยอดขาย 8 พันล้าน

โดย “เพชรลดา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ Major ระบุว่า ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่ และคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ หรือ Pet Family Residences ล่าสุด บริษัทมีผลดำเนินงานอัพเดต 7 เดือนแรก (มกราคม-กรกฎาคม 2567) สามารถสร้างยอด Presale ไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงมุ่งมั่นด้วยจุดยืนสู่การเป็น Lifescape Developer มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่ นำเสนอผ่านแนวคิด Craft & Quality ที่สร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และเข้าใจรูปแบบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าระดับบนตั้งแต่กลุ่ม High-end จนถึง Ultra-Luxury”

ปัจจุบัน เมเจอร์ฯดำเนินการก่อสร้างและบริหารการขายโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนา ทั้งสิ้น 13 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Muniq, Maru, Mavista, Marfquis และ Metris ในขณะที่บ้านแนวราบพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ Malton, Milford และ Mayfield รวมถึงโครงการที่พัฒนาภายใต้แบรนด์เฉพาะกิจ “Ten & Only” จำนวน 10 หลังเท่านั้น

โครงการร่วมทุนหนุนรายได้

ทั้งนี้ 7 เดือนแรกของปี ได้รับการตอบรับและความเชื่อมั่นในแบรนด์จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มียอดจองซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นยอดพรีเซลเข้ามาแล้วกว่า 8,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการระดับลักเซอรี่-อัลตราลักเซอรี่ ภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น Muniq, Mavista และ Metris

โครงการที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้ของบริษัท ได้แก่ Metris District Ladphrao ตามแผนคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตามแผนการโอนในปี 2568 เป็นต้นไป

ขณะที่ไทม์ไลน์ช่วงปี 2570-2572 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากส่วนแบ่งกำไร จากการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการร่วมทุน แบรนด์ “Muniq พร้อมพงษ์-Muniq เจริญกรุง-Mavista พร้อมพงษ์” มูลค่าโครงการรวมกันอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท

ควบคู่กับเดินหน้าการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 แบ่งเป็นโครงการ Maru จุฬาฯ กับ Marquis พญาไท ซึ่งเป็นโครงการไฮไลต์ของปีมังกร ตามแผนบริษัทเตรียมความพร้อมในการเปิดสำนักงานขายในไตรมาส 3/67-4/67 นี้

จ่อขยายลงทุน 3 ทำเลลักเซอรี่

CEO เมเจอร์ฯกล่าวด้วยว่า บริษัทได้ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง พบว่ายังมีกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้า Real Demand หรือลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นจำนวนมาก พฤติกรรมการซื้อเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างเฉพาะตัว ดังนั้น บริษัทเมเจอร์ฯจึงทำการศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ โดยมีแม็กเนตในการเพิ่มความน่าสนใจด้วยการค้นหาพื้นที่ศักยภาพและปัจจัยบวกส่งเสริม เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์และดีไซน์โครงการที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพ พร้อมมอบประสบการณ์ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ตอบสนองความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ เมเจอร์ฯโฟกัสทำเลลงทุนใหม่ที่มีศักยภาพสูง รองรับดีมานด์ตลาดลักเซอรี่บน 3 ทำเลที่บริษัทมีประสบการณ์และมีความชำนาญ ประกอบด้วยทำเล “พร้อมพงษ์-เจริญกรุง-กรุงเทพกรีฑา” โดยมั่นใจว่ามีดีมานด์รองรับการลงทุนใหม่เป็นจำนวนมาก โดยให้ความสำคัญกับโมเดลธุรกิจพัฒนาโครงการร่วมทุน หรือ JV-Joint Venture กับกลุ่มบริษัทพันธมิตรที่มีมุมมองตรงกัน และมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทำให้โครงการ JV สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างลงตัว

เบื้องต้น เมเจอร์ฯประกาศแผนโปรเจ็กต์ร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น 3 กลุ่มหลัก โดยมี Mori Trust ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ในมหานครโตเกียว ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ “มอลตัน เกสต์ กรุงเทพกรีฑา 2-Malton Gates Krungthep Kreetha II” มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ตามแผนคาดว่าจะเริ่มเปิดพรีเซลโครงการได้ในช่วงต้นปี 2568

ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดธุรกิจเพื่อนำมาสู่โครงการ JV อีก 2 กลุ่ม พัฒนาอย่างน้อย 2 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมเกิน 7,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในปี 2567 นี้

ท่องคาถาบาลานซ์บ้าน-คอนโดฯ

“การที่เมเจอร์ฯมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก เกิดจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Diversify Revenue ที่ทำให้พอร์ตของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนในการพัฒนาบ้านแนวราบเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการสร้างบาลานซ์รายได้ให้มีความสม่ำเสมอ รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งจากการที่มีพันธมิตรร่วมทุนที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจถึงศักยภาพในการเติบโตของบริษัท ที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งการลงทุนบ้านและคอนโดฯ”

โดยหนึ่งในคีย์ซักเซสของแผนธุรกิจปีนี้ กลยุทธ์การลงทุนแบบบาลานซ์พอร์ตรายได้ โดยเพิ่มบทบาทรายได้บ้านแนวราบมีสัดส่วน 40% และรายได้คอนโดฯ 60% ทำให้สามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์วิกฤตเศษฐกิจ

โดยช่วงไตรมาส 3/67 คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมมากขึ้นจากบ้านแนวราบ ซึ่งมีโมเดลธุรกิจที่ผ่อนคลายกว่าคอนโดฯ เพราะสามารถสร้าง-ขาย-โอนให้จบในปีเดียวกัน ส่วนพอร์ตรายได้คอนโดฯที่กำลังเร่งก่อสร้าง ตามแผนจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 เป็นต้นไป

รวมถึงพอร์ตรีเคอริ่งอินคัม ทำรายได้ประจำหรือรายได้ค่าเช่าจากอาคารพาณิชย์ และโรงแรมที่เทรนด์ธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเร็วและแรงของไทย

5/9/2567  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 5 กันยายน 2567 )

ช่องยูทูปของ iCONS