info@icons.co.th 02 810 8892-6 18.97.9.174

ส่องท็อป 15 จังหวัด อสังหาฯบูมสุด เมืองท่องเที่ยวรุ่ง อีสาน-เมืองชายแดนแอบเฉา

Residential News / ข่าวหมวดที่พักอาศัย

เทศกาลสถิติเก่าไป สถิติใหม่มาแทน ล่าสุด เป็นคิวของการอัพเดตสถิติ 15 จังหวัดในรอบ 31 ปี (ยกเว้นกรุงเทพฯ-ปริมณฑล) ที่มีขนาดตลาดโครงการจัดสรร ทั้งประเภทหมู่บ้านจัดสรร และโครงการคอนโดมิเนียม โดยเรียงลำดับตามมูลค่าโครงการที่ดีเวลอปเปอร์ทั้งรายใหญ่-รายกลาง-รายเล็ก มีการเปิดขายโครงการ (ดูกราฟิกประกอบ)

“ชลบุรี-ภูเก็ต-ระยอง” ยืนหัวแถว

ข่าวล่ามาเร็วโดย “ดร.โสภณ พรโชคชัย” ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA นำเสนอผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยระหว่างปี 2537-2567 ซึ่งภาคปฏิบัติมีการลงสำรวจพื้นที่จำนวน 40 จังหวัดด้วยกัน อย่างไรก็ตาม จุดเน้นคือต่างจังหวัดทั่วไทยมีการลงทุนหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดฯ โดยดีเวลอปเปอร์ทุนท้องถิ่นในทุกจังหวัด แต่อาจจะมีขนาดตลาดเล็กเกินไป ในที่นี้จึงได้คัด 15 จังหวัดที่มีความโดดเด่น หรือมีขนาดตลาดมากเพียงพอที่จะทำการสำรวจ หรือมีขนาดตลาดเกิน 5,000 ล้านบาท/ปี ดังนี้

อันดับ 1 “ชลบุรี” ข้อมูล ณ ปี 2567 มีมูลค่ารวม 159,738 ล้านบาท หรือ 4,698 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีหน่วยเหลือขาย 45,470 หน่วย สัดส่วน 15% ของหน่วยเหลือขายในภาพรวม ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.513 บาท หรือ 103,325 เหรียญสหรัฐ เหตุผลเพราะชลบุรีมีการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยรองจากกรุงเทพฯ เพราะเป็นจังหวัดหลักในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC และเป็นจังหวัดที่มีการลงทุนมากเป็นพิเศษ

อันดับ 2 “ภูเก็ต” ไข่มุกอันดามันที่เป็นทั้งทัวริสต์เดสติเนชั่น และพร็อพเพอร์ตี้เดสติเนชั่นระดับโลก รวมมูลค่าโครงการที่ 142,796 ล้านบาท หรือ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หน่วยรอขาย 11,607 หน่วย สัดส่วน 15% ราคาเฉลี่ย 12.303 ล้านบาท หรือ 361,840 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเห็นว่าราคาเฉลี่ยต่อหน่วยในภูเก็ตขายสูงกว่าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ที่ขายในราคาเฉลี่ย 5.293 ล้านบาท หรือ 155,676 เหรียญสหรัฐ

อันดับ 3 “ระยอง” ขนาดตลาดมูลค่า 58,563 ล้านบาท หรือ 1,722 ล้านเหรียญสหรัฐ จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยรอขาย 23,092 หน่วย สัดส่วน 25% ราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.536 ล้านบาท หรือ 74,590 เหรียญสหรัฐ ซึ่งหากโฟกัสโซน EEC พบว่าระยองเติบโตเคียงคู่ชลบุรี ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีรีสอร์ตตามพื้นที่เนินเขาต่าง ๆ อีกด้วย

อันดับ 4 “เชียงใหม่” มีมูลค่าตลาด 54,218 ล้านบาท หรือ 1,595 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหน่วยเหลือขาย 11,900 หน่วย ราคาเฉลี่ย 4.556 ล้านบาท สัดส่วน 14% แสดงให้เห็นว่ามีอัตราการขายได้เร็วพอสมควรเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งนอกจากเป็นเมืองเดสติเนชั่นด้านการท่องเที่ยวแล้ว ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงด้านอสังหาริมทรัพย์ในภาคเหนือของไทยอีกด้วย

อันดับ 5 “ชะอำ-หัวหิน” ซึ่งจริง ๆ ก็คือ เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ มีมูลค่าตลาด 41,382 ล้านบาท หรือ 1,217 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหน่วยเหลือขาย 8,134 หน่วย ราคาเฉลี่ย 5.088 ล้านบาท สัดส่วน 20%

ทั้งนี้ ในภาพรวมของท็อป 15 จังหวัดที่มีขนาดตลาดโครงการที่อยู่อาศัยใหญ่ที่สุดนั้น สแกนลงรายละเอียดพบว่า อยู่ในเขตภาคหนือ 3 จังหวัด คือ “เชียงใหม่-เชียงราย-พิษณุโลก”, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด “โคราช-ขอนแก่น-อุดรธานี-อุบลราชธานี” ภาคกลาง 1 จังหวัด “พระนครศรีอยุธยา”, ภาคใต้ 3 จังหวัด “ภูเก็ต-หาดใหญ่ (สงขลา)-สุราษฎร์ธานี”, ภาคตะวันตก 1 โซน “ชะอำ-หัวหิน” และโซน EEC 3 จังหวัด “ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง”

ส่อง 6 เทรนด์ไปต่อหรือพอแค่นี้

ทั้งนี้ “ดร.โสภณ” ประเมินด้วยว่า เทรนด์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตของตลาดที่อยู่อาศัยใน 15 จังหวัดดังกล่าว มีอย่างน้อย 5 เทรนด์หลักด้วยกัน ดังนี้

1.“ภาคตะวันออก” ที่อยู่อาศัยสำหรับคนทำงานหรือผู้อยู่อาศัยในพื้นที่โซน EEC มีแนวโน้มจะลดลง เนื่องจากโรงงานญี่ปุ่นและเกาหลีคาดว่ามีโอกาสทยอยย้ายออก ส่วนโรงงานจีนอาจไม่ได้ใช้แรงงานมากนัก โดยมีการใช้หุ่นยนต์เป็นหลักในการผลิต ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวคงยังเติบโตเหมือนเดิม

2.“ภาคใต้” ในทำนองเดียวกัน ที่อยู่อาศัยในเขตตัวเมืองจังหวัดภูเก็ต ซึ่งรองรับดีมานด์การซื้อของลูกค้าคนไทยอาจไม่เติบโตมากนัก แต่ทำเลที่มีแนวโน้มการเติบโตจริง ๆ เป็นทำเลที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่อยู่ตามริมหาดหรือตามไหล่เขา รูปแบบโครงการมีทั้งโครงการพูลวิลล่าและรีสอร์ตสำหรับการพักผ่อน ส่วนที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีโอกาสเติบโตได้อีกมากในกรณีปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก รวมทั้งตลาดสุราษฎร์ธานี (จุดโฟกัสที่เกาะสมุย) ก็มีโอกาสเติบโตสูงมากเช่นกัน

3.“ภาคเหนือ” ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เนื่องจากปัญหาเรื่องฝุ่นควัน PM 2.5 อาจเป็นอุปสรรคทำให้การเติบโตช้ากว่าปกติ

4.“ภาคอีสาน” เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีการเติบโตค่อนข้างช้า ยกเว้นจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นประตูสู่ภาคอีสาน ทำให้ได้รับอานิสงส์ของจุดที่ตั้ง รวมทั้งมีแม็กเนตจากพื้นที่ท่องเที่ยวเมืองหนาวใกล้กรุงเทพฯ อย่างเขาใหญ่ ทำให้เป็นพื้นที่ที่ยังเติบโตมากกว่าจังหวัดอื่นมาก

5.“เมืองชายแดน” ประกอบด้วย อำเภอแม่สาย และอำเภอแม่สอด จ.ตาก, หนองคาย มุกดาหาร สระแก้ว ปัจจุบันตลาดยังเติบโตไม่มาก อาจเป็นเพราะโครงการพัฒนาเมืองชายแดนตามนโยบายของรัฐบาลยังไม่มีผลกระทบที่นำมาสู่การดึงดูดการลงทุนจากนอกพื้นที่มากนัก ตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งตามปกติจะมีการลงทุนและการเติบโตที่ล้อไปกับการมีแหล่งจ้างงาน แหล่งสถานศึกษา แหล่งใช้ชีวิต ฯลฯ จึงไม่บูมเท่าที่ควร

และ 6.“เมืองท่องเที่ยว” เทรนด์ที่ชัดเจนเป็นโอกาสของหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก จุดโฟกัสครบทุกทำเลทั้ง “ภูเก็ต สมุย พัทยา ชะอำ-หัวหิน” เทรนด์จะเติบโตได้มากกว่าจังหวัดภูมิภาคอื่น ๆ เพราะรับอานิสงส์ทางตรงจากภาคการท่องเที่ยวนั่นเอง

13/3/2568  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 13 มีนาคม 2568 )

ช่องยูทูปของ iCONS