เปิดวิชั่น! เลือดใหม่อสังหาฯ กฤช พรหมสุทธิ ฉีกกรอบข้อจำกัดลุยตลาดบ้านภายใต้ชื่อ แอสติม่า แอสเสท เปิดตัวบ้านแฝดโครงการใหม่ ARKIN วิภาวดี เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน คว้ายอดขายแล้ว 30% จ่อเปิดเพิ่ม 2-3 โครงการในปี 2566
วันที่ 4 ตุลาคม 2565 นายกฤช พรหมสุทธิ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสติม่า แอสเสท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแอสติม่าฯ ก่อตั้งเมื่อปี 2560 เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ดินที่จะนำมาพัฒนาจะมีทั้งซื้อใหม่และใช้แลนด์แบงก์ของครอบครัวที่ซื้อสะสมไว้หลายแปลงในกรุงเทพฯ
ปัจจุบันได้เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว 2 โครงการ โดยโครงการแรกเปิดตัวเมื่อปี 2564 ภายใต้ชื่อ อาธาร์ พหลฯ-อารีย์ (ARTHA พหล-อารีย์) จับกลุ่มตลาดผู้บริโภคแบบเฉพาะเจาะจง(Niche Market) และเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนกำลังซื้อสูง
โครงการ อาธาร์ พหลฯ-อารีย์ (ARTHA พหล-อารีย์) ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 14 บนเนื้อที่ดิน 182 ตารางวา พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวหรูขนาดใหญ่ 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 3 หลัง แต่ละหลังสร้างบนที่ดินเริ่มต้น 56.3 ตารางวา (ตร.ว.) มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 570 ตร.ม.
ฟังก์ชั่นระบบประตูเปิด-ปิดหน้าบ้านแบบอัตโนมัติ พร้อมรีโมตทุกหลัง มีสระว่ายน้ำและลิฟต์โดยสารทุกหลัง ยี่ห้อ Mitsubishi จอดรถ 4 คัน ตัวบ้านออกแบบในสไตล์ Mid-Century Modern เหมาะเป็นที่อยู่อาศัย และ Home Office อยู่ใกล้ BTS สถานีอารีย์ และ BTS สถานีสะพานควาย ราคาขายเริ่ม 44-62 ล้านบาท ขณะนี้เหลือขาย 1 หลัง เป็นบ้านตัวอย่าง Fully-Furnished selected masterpiece by Euro Creation ตั้งเป้าขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าภายในสิ้นปี 2565
ส่วนโครงการที่ 2 เพิ่งเปิด Pre-sales เดือน กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา อาคิน วิภาวดี พัฒนาบนแลนด์แบงก์ของครอบครัว ในซอยวิภาวดีฯ 84 เนื้อที่กว่า 5 ไร่ พัฒนา ออกแบบเป็นบ้านแฝด 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 32 หลัง ที่ดินบ้านเริ่มต้น 36.7-44.6 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 270 ตร.ม. ฟังก์ชั่นบ้าน ขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ Clubhouse, สระว่ายน้ำ, ห้องออกกำลังกาย, สวนสาธารณะ, กล้องวงจรปิด CCTV 40 ตัว รั้วโครงการสูง 6 เมตร มีความเป็นส่วนตัวพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ราคาเริ่ม 12.9 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท
โครงการ ARKIN วิภาวดี พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ REALMS OF ENDLESS POSSIBILITIES : อาณาจักรแห่งความเป็นไปได้ไม่รู้จบ ทั้งในด้านชีวิตการงานหรือชีวิตส่วนตัว เราเชื่อว่าการสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิดที่มุ่งมั่นผ่านปัจจัย 3 อย่างคือ นวัตกรรม (Innovation), สภาพแวดล้อม (Environment) และสังคม (Co-Living) สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณและครอบครัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทางโครงการยังให้ความสำคัญกับการใช้เวลาในทุกช่วงของชีวิต ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และเงียบสงบ ป่ากลางหมู่บ้าน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดมากกว่า 6,000 ต้น จากหลากหลายสายพันธุ์ คัดสรรและออกแบบโดยทีม Designer ชั้นนำของประเทศ ของบริษัท Landscape 49 หรือ L49
จุดเด่นโครงการ ARKIN วิภาวดี เริ่มจากโลเกชั่นดีเยี่ยม ห่างถนนวิภาวดีฯ 50 เมตร หน้าปากซอยใกล้ทางขึ้นทางด่วน เข้าเมืองสะดวก ขับรถ 2 กม. ถึงสนามบินดอนเมือง อยู่ใกล้ BTS สองสายคือ แดงเข้มและเขียวเข้ม และ STRET อยู่ระหว่างถนน 2 สายหลักของประเทศคือ ถนนวิภาวดีฯ และถนนพหลโยธิน
สังคมสุด Exclusive เพียง 32 ครอบครัว เป็นส่วนตัวและปลอดภัย, นวัตกรรม Smart Home ทั้งหลัง พร้อมด้วยระบบ AQC (Air Quality Control) สร้างประโยชน์ให้คุณใน 4 ด้านคือ 1.สุขภาพ 2.ปลอดภัย 3.สะดวกสบาย 4.ประหยัดค่าใช้จ่าย ยกระดับคุณภาพชีวิต ตอบโจทย์ Life Style คนรุ่นใหม่
Design เรียบง่าย โปร่ง โล่ง กว้าง ที่ตอบโจทย์ Lifestyle คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ห้อง Flexible Semi Outdoor Living Space หรือ Private Penthouse สำหรับห้อง Master Bedroom การออกแบบ Exterior ที่ดู Ultra Modern ในคอนเซ็ปต์ Simple, but not Simple เรียบหรู แต่มีรายละเอียด ไม่เหมือนใคร สะท้อนความเป็นตัวตนเจ้าของบ้านได้อย่างชัดเจน
ในช่วงเปิด Pre-sales ทำยอดขายรวมไปแล้วกว่า 30% กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคที่ซื้อมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 2-3 แสนบาท มีทั้งเป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจ, กลุ่ม Young Family หากเป็นพนักงานบริษัทก็เป็นระดับ Manager หรือเป็นผู้บริหารระดับกลางขึ้นไป และกลุ่มพ่อแม่ซื้อบ้านไว้ให้ลูก เป็นต้น
บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 50% จำนวน 16 หลัง ภายในสิ้นปี 2565 แนวคิดหากต้องการอยู่อาศัยแบบอีลอน มัสก์ โครงการอาร์คินสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี
สำหรับแผนลงทุนในอนาคต วางแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว แบ่งเป็นระยะสั้นปี 2565-66 เน้นโครงการขนาดเล็ก บนที่ดินไม่เกิน 10 ไร่ มูลค่าโครงการ 400-500 ล้านบาท
แผนงานระยะกลางถึงระยะยาวช่วง 3-5 ปีขึ้นไป (นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป) ขนาดของโครงการ อาจจะใหญ่ขึ้นทั้งในแง่มูลค่าและขนาดของที่ดินที่จะนำมาพัฒนา รวมถึงรูปแบบการพัฒนาก็จะขยายจากที่อยู่อาศัยแนวราบมาสู่ที่อยู่อาศัยแนวสูงประเภทคอนโดมิเนียม Low Rise และพัฒนาอสังหาฯ แบบ Mixed Use
โดยวางแผนเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2566 จำนวน 2-3 โครงการ เจาะราคาขาย 7-15 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดย 2 โครงการแรกเป็น แลนด์แบงก์ ของครอบครัวคือ ที่ดินย่านลำลูกกาเนื้อที่ 5 ไร่ และย่านพหลโยธิน เนื้อที่ 12 ไร่ ส่วนอีก 1 โครงการจะอยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาซื้อที่ดิน
สาเหตุที่จับตลาดที่อยู่อาศัยเซ็กเมนต์ราคาเริ่ม 7-15 ล้านบาท เพราะมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มบ้านเซ็กเมนต์ที่ระดับต่ำกว่า 3-5 ล้านบาท ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่มที่มีขีดความสามารถซื้อบ้านในราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาทอัพได้นั้น ค่อนข้างที่จะประสบความเสร็จด้านอาชีพ การทำงาน หรือมีรายได้ที่มั่นคงแล้วในระดับหนึ่ง
ส่วนที่คิดจะขยายการลงทุนไปที่ภูเก็ต เพราะมองว่าภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าลงทุน และเป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งขณะนี้นี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาแล้ว แม้จะยังไม่คึกคักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม
วิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งจากภายนอกและภายในประเทศเป็นปัจจัยท้าทาย ผมมองบวกทุกวิกฤต มีโอกาสเสมอ และทุกความท้าทายมีโอกาสในการพัฒนาให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ เราเป็นบริษัทอสังหาฯขนาดเล็ก ที่มีความเชื่อและแนวคิดที่แตกต่าง พร้อมที่จะสรรหาและพัฒนาโปรดักต์ใหม่ ๆ ที่เราคิดว่าจะสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าเราได้จริงมานำเสนอ เพราะเราเชื่อในการไม่หยุดนิ่ง และการเรียนรู้ ปรับปรุง และก้าวไปข้างหน้าเสมอ นี่คือที่มาของ Slogan บริษัทเรา Create Whats Next นายกฤชกล่าว
4/10/2565 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (4 ตุลาคม 2565)