ได้เวลารีแบรนด์หลังจากอยู่ในวงการมา 33 ปี ในปี 2566 สำหรับค่ายอสังหาริมทรัพย์คุณภาพคับแก้วอีกรายหนึ่งของวงการ มารวย เอสเตท
โดยรีแบรนดิ้งจาก มารวย เป็น MARUI เพื่อสื่อสารการตลาดเจาะตรงผู้บริโภคอสังหาริมทรัพย์กลุ่มคนรุ่นใหม่
ประชาชาติธุรกิจ สัมภาษณ์พิเศษ ดร.เต้ย-นวณัฐ สุขะมงคล รองประธานกรรมการบริหาร แพทโก้ กรุ๊ป บริษัท วิจิตรา ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท มารวย เอสเตท จำกัด บริษัทลูกในกลุ่มวิจิตราธานี
ดร.นวณัฐ สวมบทบาทดีเวลอปเปอร์ 20 ปีเต็มที่ลงทุกรายละเอียดตั้งแต่ไซต์ก่อสร้าง ดีไซน์ ตลอดจนบริการหลังการขายสไตล์มารวย โดยยังคงส่งทีมงานช่างคอยติดตามความแข็งแรงของบ้านที่โอนไปเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว เพราะมีหลักคิดที่ว่า สร้างบ้านให้ลูกบ้านอยู่ เหมือนสร้างบ้านให้ตัวเองอยู่อาศัย
Q : รีแบรนดิ้งรอบ 33 ปี
ปี 2566 มารวย เอสเตท ครบรอบตัวเลข 33 ปี สะสมประสบการณ์พัฒนาโครงการผ่านมาหมดแล้วทั้งฝน ร้อน หนาว จึงเป็นช่วงอายุทางธุรกิจที่มีความหมาย
สำหรับที่มาของแบรนด์ MARUI อ่านได้ตามภาษาญี่ปุ่นว่า มา-รุ-อิ สื่อความหมายถึงความมั่งคั่ง ความร่ำรวย ในความหมายทุกตัวอักษรของชื่อแบรนด์ MARUI ยังสื่อถึงความสำคัญที่มีต่อผู้พักอาศัย รวมถึงการแสดงตัวตนของโครงการที่พักในยุค 2023 หรือปี 2566
โดย M-Modern ความล้ำสมัยจากดีไซน์ที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์เจ้าของบ้านในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว
A-Affluent ความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุข ตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อให้ผู้พักอาศัย รับสิ่งดี ๆ อยู่แล้วรวย ขณะเดียวกัน ยังเน้นตัว A โดยต้องการสื่อความหมาย บ้านมารวย = บ้านคุณภาพ เน้นใช้วัสดุที่มีคุณภาพเกรด A
R -Romance ความรัก ความอบอุ่น ทุกคนที่อยู่ร่วมกัน ทั้งผู้พักอาศัยและโครงการ เราเรียกว่าเป็นครอบครัวมารวย
U-Unique ความมีเอกลักษณ์โดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง มีอัตลักษณ์ในดีไซน์ที่พักอาศัยที่เราให้ความเอาใจใส่ ลงรายละเอียดในทุกองค์ประกอบ พื้นที่กว้าง หลังใหญ่ เพดานสูง
และ I-Infinity ความไม่สิ้นสุด สะท้อนให้เห็นถึงตัวตน ในฐานะผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไม่เคยหยุดคิดหยุดพัฒนาธุรกิจ เอาใจใส่ทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม
Q : พอร์ตสะสมมีโครงการอะไรบ้าง
รากฐานของแพทโก้กรุ๊ป โครงการแรกคือสามมุขธานี ลงทุนในปี 2532 กลุ่มเราเน้นพัฒนาบ้านที่มีคุณภาพในพื้นที่ภาคตะวันออก ส่งมอบบ้านแล้วมากกว่า 6,000 ครอบครัว
แบรนด์ที่เราพัฒนาโครงการมีความแข็งแรงทุกแบรนด์ ได้แก่ วิจิตราธานี, วิจิตรา ดีเวลอปเม้นท์, เดอะรอยัล สามมุข, วิคตอเรีย การ์เด้น วิลล่า และบ้านมารวย ในระหว่างทางมีแบรนด์ใหม่เพิ่มเติมคือ เดอะเทรเชอร์ โฮม, THER ลาดพร้าว 95, โทรฟี่ บ้านโพธิ์ และแฮตตัน
โฟกัสการพัฒนาโครงการภายใต้บริษัทมารวย เอสเตท ระหว่างปี 2552-2565 มีจำนวน 13 โครงการ ปิดการขายแล้ว 9 โครงการ คือ มารวย ฉะเชิงเทรา, มารวย บ้านโพธิ์, มารวยโสธร 1-2-3-4, มารวย มอเตอร์เวย์, มารวย แหลมฉบัง, มารวย อรัญ, มารวย ริเวอร์ไซด์ 1-2, มารวย สระแก้ว
อยู่ระหว่างขาย 3 โครงการ คือ มารวย ริเวอร์ไซด์ 2, มารวย สระแก้ว และโทรฟี่ บ้านโพธิ์
Q : ขยายฐานลูกค้า First jobber ?
ตอนนี้เราทำแบรนด์ใหม่ โทรฟี่ ทาวน์โฮมทำเลบ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราชำนาญและมีแบรนด์ลอยัลตี้ กระแสตอบรับค่อนข้างดี ดีไซน์สไตล์อังกฤษพัฒนาในแนวคิด Own Your Success คนรุ่นใหม่ที่อยากไขว่คว้าหาความสำเร็จ
เราจะเน้นให้บรรยากาศการอยู่อาศัยเป็นความรู้สึกนั้น อย่างน้อยการที่เขามีบ้านเป็นของตัวเอง ก็เหมือนได้ประสบความสำเร็จไปด้านหนึ่งแล้ว ราคาเริ่มต้นทาวน์โฮม 2.35-2.95 ล้าน กับมีบ้านแฝดด้วย ราคาเริ่มต้น 3.79-4.2 ล้านบาท
จุดเด่นที่ทำให้เราชนะตลาด ทาวน์โฮมของเราจอดรถปิกอัพได้ทุกหลัง เราให้ความลึก 5 เมตร เทียบกับคู่แข่งถ้าจอดปิกอัพอาจมีหน้าโผล่ท้ายโผล่พ้นรั้ว สุดท้ายต้องออกไปจอดหน้าบ้าน ในด้านพื้นที่ใช้สอยเราให้ 120-180 ตารางเมตร เทียบกับในตลาดให้ 90 ตารางเมตร เหตุผลที่ให้ไซซ์ใหญ่เพราะเราคุมงานก่อสร้างตั้งแต่ต้น ก็เลยใส่ความรู้สึกลงไปด้วยว่าถ้าเราซื้อเอง เราจะอยู่ได้สบายไหม พบว่าถ้าอยู่ให้สบายจริง ๆ ต้อง 120 ตารางเมตรขึ้นไป
Q : ตลาดบ้านหรูมีกี่แบรนด์
แบรนด์ THER เริ่มแตะตลาดไฮเอนด์มาก ๆ ของ MARUI ทำเลซอยลาดพร้าว 95 ใกล้สถานีมหาดไทย รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ห่างเพียง 650 เมตร เปิดตัวก่อนโควิดมาแป๊บเดียว เรียกว่าโครงการเกิดพร้อมโควิดเลย ถือเป็นบททดสอบที่ดี มีผลตอบรับดีเพราะสถานการณ์โควิดคนก็หนีจากคอนโดฯมาอยู่ทาวน์โฮม เพราะว่าไม่อยากไปสุงสิงกับใคร ถือว่าโชคดี (ยิ้ม)
โครงการ THER วางเซ็กเมนต์เป็นลักเซอรี่ทาวน์โฮม มีจำนวนจำกัด 82 ยูนิต ทำสองเฟส โดยเฟส 1 จำนวน 35 ยูนิต ขายหมดแล้ว ตอนนี้กำลังพัฒนาเฟส 2 ตามแผนจะก่อสร้างให้จบในปีนี้ และคาดว่าภายในต้นปี 2567 น่าจะปิดการขายได้ทั้งโครงการ พื้นที่ใช้สอย 220-280 ตารางเมตร หน้ากว้าง 5.2-5.7 เมตร จอดรถได้ 2-3 คัน
สำหรับลูกค้าที่ซื้อกับเราตอนยุคโควิดตอนนี้ยิ้มได้ทุกคน เพราะเราเปิดตัวด้วยราคา 9.5 ล้าน ซึ่งมีไม่กี่หลัง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12.9 ล้านบาท ปัจจุบันยุคหลังโควิดต้นทุนพัฒนาโครงการแพงขึ้นมาล้านกว่าบาท/ยูนิต ก็เลยจำเป็นต้องขยับราคาขึ้นมาเป็น 14.9 ล้าน ซึ่งลูกค้าเฟสแรกกำไรทุกคนแล้ว ทราบมาว่าปล่อยเช่าก็ได้ราคาดี เฉลี่ย 65,000 บาท/เดือน
บ้านหรูอีกแบรนด์กำลังจะเปิดโครงการใหม่ที่ฉะเชิงเทรา ตั้งเป้าให้เป็นโครงการบ้านหรูที่สุดในฉะเชิงเทราชื่อแบรนด์ แฮตตัน ที่มาของแบรนด์เป็นเมืองค้าเพชร เมืองอัญมณีในประเทศอังกฤษ บ้านจะเป็นไซซ์ขนาดใหญ่ 250-360 ตารางเมตร ถือว่าใหญ่ที่สุดในตลาด ที่ดินไซซ์เล็กสุดอยู่ที่ 70-103 ตารางวา ราคาที่เราตั้งใจไว้ 6.9-8.9 ล้านบาท จำนวน 125 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท
Q : นำไลฟ์สไตล์เราไปใส่ในอสังหาฯ บ้างไหม
เต้ยเป็นคนชอบต้นไม้ อย่างโปรเจ็กต์ THER ลาดพร้าว 95 เน้นโทนสีเขียว รูฟท็อปเราก็ปลูกต้นไม้ แล้วก็ทุก ๆ โปรเจ็กต์พยายามใส่ต้นไม้ให้เยอะ ๆ แต่บางโครงการเราก็นึกเสียใจเพราะว่าลูกบ้านบางคนไม่ชอบต้นไม้ บางทีบางโปรเจ็กต์ที่เราทำจบไปแล้ว โอนไปให้นิติบุคคลดูแลเขาก็ตัดต้นไม้ เห็นแล้วแบบ กว่าจะโตขนาดนี้หลายตังค์นะ (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงต้นไม้รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ผูกพันเยอะ
อย่างต้นไม้เราควรจะลงต้นไม้ให้เจ้าของบ้านไปบำรุงรักษาได้ง่าย ๆ บางทีลงต้นไม้สวยงามแต่แป๊บเดียวก็พังเพราะดูแลยาก ประสบการณ์คือเราจะลงต้นไม้ที่ทนแดด ทนฝน เช่น ต้นแคนา ต้นปีบ พวกที่ชอบแดดทั้งหลาย ต้นคริสติน่า ต้นชาดัด ต้นหนวดปลาหมึกแคระ ต้นยี่โถแคระ พวกนี้ทน
แต่ว่าเราก็จะมีต้นไม้ที่มันเป็นไฮไลต์ที่ใส่เข้าไปเพื่อให้ดูมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ต้นสนฉัตร ยางอินเดีย ปาล์ม อาจต้องดูไม่ให้ด้วงเจาะ ต้องคอยไปหยอดยา คอยแซมให้มีบ้างแต่ไม่เยอะ ไม่อย่างนั้นเวลาด้วน มันด้วนหมด น่าเกลียดมาก (ยิ้ม)
Q : ประสบการณ์ 20 ปีที่ส่งต่อให้ลูกค้า
การทำบ้านต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็วมาก อย่างสมัยก่อนอาจจะ 3-5 ปีเปลี่ยนที ตอนนี้แทบจะเปลี่ยนทุกปี เราต้องคอยใส่ใจความต้องการของผู้บริโภค เพราะว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เราอยากทำให้ผู้บริโภคก็คือ เราอยากส่งมอบบ้านที่ทำให้เขาเข้ามาอยู่แล้วมีความสุข ดังนั้นการตอบโจทย์ลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้วิชั่นของเราบรรลุผล เราเน้น Happy Customer
สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นนักธุรกิจ ราชการ คุณหมอ ทนายความ ผู้พิพากษา แบรนด์มารวยเน้นระดับกลาง-บนมาตลอด
ในด้านราคา ถ้าเป็นสมัยก่อน 20 ปีที่แล้ว เราขายอยู่ที่ 3-5 ล้าน ก็ถือว่าแพง ในสมัยนี้เราก็ยังอยู่ที่ 3 ล้าน แต่ว่าขยับขึ้นไปถึง 20 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดบ้าน เฉลี่ยกลุ่มลูกค้าราคา 15 ล้านเป็นฐานหลัก เรามองว่าสำหรับคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ระดับราคา 10 กว่าล้านเป็นอะไรทีเอื้อมถึง ที่สำคัญได้พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ขึ้น
ตัวอย่างชัดเจนแบรนด์ THER ลาดพร้าว 95 เรามองแล้วว่า ถ้าไปทำคอนโดมิเนียมราคา 15 ล้าน ลูกค้าจะได้ไซซ์ 60 ตารางเมตร ถ้าเราทำทาวน์โฮมลูกค้าได้ 1.โฉนดที่ดินถือเอาไว้ เป็นเจ้าของที่ดินในกรุงเทพฯ 1 แปลง 2.ได้พื้นที่ใช้สอย เราทำตั้งแต่ 220-300 ตารางเมตร เทียบกับคอนโดฯ ก็ถือว่าเป็นเพนต์เฮาส์เพราะพื้นที่ใช้สอยเยอะมาก
ส่วนมาร์จิ้นช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เน็ตมาร์จิ้นผ่านมือของบริษัทเฉลี่ย 20% ปัจจุบันลดลงมาเหลือ 15% เนื่องจากราคาวัสดุ ค่าแรงเพิ่มขึ้น เราไม่สามารถผลักต้นทุนทุกอย่างให้กับลูกค้าได้ ก็เรียกว่าอยู่แบบประคับประคอง เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ดีเวลอปเปอร์ทุกรายก็ต้องไปให้ได้ อะไรที่เราช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป
ซึ่งทุกวันนี้โครงการมารวยทุกโครงการเราก็ยังเข้าไปติดตามการอยู่อาศัยของลูกบ้านอยู่เลย เราเชื่อมั่นว่าเมื่อลูกค้ามีบ้านที่ดี จะเป็นฐานที่มั่นสำคัญของเขา หากมีความสุขจากการพักอาศัยในบ้านก็สามารถที่จะออกไปทำงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของตัวเองหรือว่าอาจเป็นพนักงาน ผู้จัดการ สามารถที่จะออกจากบ้านอย่างมีพลังในการทำงาน ถ้าหากบ้านที่อยู่อาศัยแล้วมีความสุข ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เวลาที่ออกไปทำงานข้างนอกบ้านเขาจะได้ลุยกันเต็มที่ เราก็เชื่อมั่นว่าสิ่งนี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศของเราดีขึ้นด้วย
จริง ๆ ท้ายสุดสิ่งที่เรามองเห็นเป็นเรื่องสังคมแห่งความสุข สังคมไทยมีความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราทำ อย่างทีมงานที่มีความสุข เราสร้างบ้านให้ลูกค้า ลูกค้ามีความสุขก็ออกไปสร้างเศรษฐกิจที่ดีให้กับประเทศ ทุกอย่างมันเหมือนเป็นแรงผลักดัน เริ่มจากจุดเล็ก ๆ แล้วก็ผลักดันให้ใหญ่ขึ้น
26/3/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 26 มีนาคม 2566 )