กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่ในพื้นที่ EEC ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง 2 เดือนแรก ปี 2566 รวม 1,834 ราย ทุนจดทะเบียน 4,667.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.31% ขณะที่ญี่ปุ่นนำเงินลงทุนใน EEC มูลค่า 1,352 ล้านบาท รองลงมาจีนลงทุน 529 ล้านบาท
วันที่ 3 เมษายน 2566 นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : Eastern Economic Corridor (EEC) ประกอบด้วย เขตพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง การจัดตั้งธุรกิจใหม่ ในเดือน ม.ค.-ก.พ. 2566 พบว่ามีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเขตพื้นที่ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวม 1,834 ราย ทุนจดทะเบียน 4,667.53 ล้านบาทโดยเมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.-ก.พ. 2565 จำนวน 1,452 ราย เติบโตเพิ่มขึ้น คิดเป็น 26.31% และมูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 3,341.88 ล้านบาท คิดเป็น 39.67% โดย 74.21% เป็นการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีจำนวน 1,361 ราย
ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจปัจจุบันพื้นที่ 3 จังหวัด (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) ในเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก มีนิติบุคคลคงอยู่ ณ 28 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 82,223 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 1,586,257.91 ล้านบาท แบ่งเป็น จ.ชลบุรี 59,475 ราย (คิดเป็น 72.33%) จ.ระยอง 15,742 ราย (คิดเป็น 19.15%) และ จ.ฉะเชิงเทรา 7,006 ราย (คิดเป็น 12.05%)
ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริการ คิดเป็น 60.75% รองลงมาคือการขายส่งขายปลีก คิดเป็น 24.58% และการผลิต คิดเป็น 14.68%
ญี่ปุ่นลงทุนใน EEC สูงสุด
นักลงทุนต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ EEC ภายใต้กฎหมายต่างด้าว เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 พบว่ามี 21 ราย คิดเป็น 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด โดยมีมูลค่าการลงทุนกว่า 2,078 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของเงินลงทุนทั้งหมด และแบ่งเป็น
ญี่ปุ่น ลงทุน 7 ราย มูลค่า 1,352 ล้านบาท คิดเป็น 65% ของเงินลงทุนใน EEC
จีน ลงทุน 5 ราย มูลค่า 529 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนใน EEC
ไต้หวัน ลงทุน 3 ราย มูลค่า 37 ล้านบาท คิดเป็น 2% ของเงินลงทุนใน EEC
ประเทศอื่น ๆ ลงทุน 6 ราย มูลค่า 160 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของเงินลงทุนใน EEC
ธุรกิจที่ยังดำเนินกิจการ
กลุ่มการผลิต (1) ธุรกิจกลึง กัด ไสโลหะ จำนวน 108 ราย มีรายได้ 2,279.10 ล้านบาท (2) ธุรกิจติดตั้งเครื่องจักรอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ จำนวน 59 ราย มีรายได้ 602.48 ล้านบาท และ (3) ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์จำนวน 142 ราย มีรายได้ 400,778.92 ล้านบาท
กลุ่มขายส่ง/ปลีก (1) ธุรกิจขายส่งเครื่องจักรอื่น ๆ จำนวน 194 ราย มีรายได้ 6,272.05 ล้านบาท (2) ธุรกิจขายส่งเครื่องจักร และอุปกรณ์เพื่อใช้ในงานอุตสาหกรรม จำนวน 142 ราย มีรายได้ 6,246.83 ล้านบาท และ (3) ธุรกิจขายปลีกวัสดุก่อสร้างจำนวน 104 ราย มีรายได้ 3,376.03 ล้านบาท
กลุ่มบริการ (1) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 3,411 ราย มีรายได้ 7,804.66 ล้านบาท (2) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 532 ราย มีรายได้ 4,650.49 ล้านบาท และ (3) ธุรกิจการบริการด้านอาหารในภัตตาคารและร้านอาหาร จำนวน 314 ราย มีรายได้ 475.67 ล้านบาท
ขณะที่การถือหุ้นของต่างชาติในนิติบุคคลไทยคิดเป็น 55.11% ของทุนทั้งหมด โดยสัญชาติญี่ปุ่นมีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 45.42% มูลค่า 396,948 ล้านบาท รองลงมาคือจีน มีสัดส่วนคิดเป็น 14.30% มูลค่า 124,942 ล้านบาท และสิงคโปร์ มีสัดส่วนคิดเป็น 5.61% มูลค่า 49,039 ล้านบาท โดยมีการลงทุนในจังหวัดระยองสูงสุดคิดเป็น 51.71%
อันดับธุรกิจที่ต่างชาติถือหุ้น ลงทุนสูงสุด
ธุรกิจที่ลงทุนโดยสัญชาติญี่ปุ่น สูงสุด 3 อันดับแรก โดยเรียงลำดับจากมูลค่าทุนจดทะเบียน ได้แก่
ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ มูลค่าการลงทุน 79,788.85 ล้านบาท
ผลิตอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม มูลค่าการลงทุน 38,387.31 ล้านบาท
ผลิตยางล้อและยางใน มูลค่าการลงทุน 31,797.31 ล้านบาท
ธุรกิจที่ลงทุนโดยสัญชาติจีน สูงสุด 3 อันดับแรก เรียงลำดับจากมูลค่าทุนจดทะเบียน ได้แก่
ผลิตยางล้อและยางใน มูลค่าการลงทุน 18,364.45 ล้านบาท
ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ มูลค่าการลงทุน 11,448.02 ล้านบาท
การผลิตเหล็กและเหล็กกล้า มูลค่าการลงทุน 10,566.22 ล้านบาท
ธุรกิจที่ลงทุนโดยสัญชาติสิงคโปร์ สูงสุด 3 อันดับแรก เรียงลำดับจากมูลค่าทุนจดทะเบียน ได้แก่
ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มูลค่าการลงทุน 10,691.38 ล้านบาท
ผลิตยางล้อและยางใน มูลค่าการลงทุน 6,920.98 ล้านบาท
ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ มูลค่าการลงทุน 3,208.08 ล้านบาท
3/4/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 3 เมษายน 2566 )
