ยัสปาล กรุ๊ป เดินหน้าลุยขยายสาขาทั้งไทย-เทศ กว่า 100 สาขา ในปี 2567 มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคอาเซียนภายใน 5 ปี
วันที่ 29 สิงหาคม 2566 นายจรัญ สิงห์สัจจเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) หรือ JPC เปิดเผยว่า ภาพรวมยอดขายของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าระหว่างปี 2566-2570 คาดจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8% ต่อปี ทำให้ยอดขายของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าในปี 2570 เพิ่มขึ้นเป็น 420,423 ล้านบาท จากปี 2565 อยู่ที่ 302,751 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดที่นอน เครื่องนอน และผ้าปูที่นอนในประเทศไทย ปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 5,863 ล้านบาท จากปี 2565 อยู่ที่ 5,310 ล้านบาท และระหว่างปี 2566-2570 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% ต่อปี
ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ และบริษัทย่อย (กลุ่มบริษัท) เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ของภูมิภาคอาเซียน จากการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิต จัดหาและจัดจำหน่ายเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์อื่น ๆ (กลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่น)
รวมทั้งเป็นผู้ผลิต จัดหาและจำหน่ายที่นอนและเครื่องนอน ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ (กลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน) ที่ดำเนินงานภายใต้ บริษัท ยัสปาล แอนด์ ซันส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ภายใต้แบรนด์สินค้าที่กลุ่มบริษัทเป็นเจ้าของ (In-house Brand)
รวมทั้งแบรนด์ที่บริษัทได้รับสิทธิ์ให้ผลิตและเป็นตัวแทนจำหน่าย ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ หรือได้รับสัญญาแฟรนไชส์ (Import Brand) รวมกันกว่า 25 แบรนด์ชั้นนำ
โดยผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,854.33 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 914.5 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 1/2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,932.56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 242.99 ล้านบาท
ด้านนายวิเศษ สิงห์สัจจเทศ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) หรือ JPC กล่าวต่อว่า โดยกลุ่มบริษัทเป็นบริษัทสัญชาติไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าเฉพาะอย่างของประเทศไทย (อ้างอิงจาก Euromonitor International) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในปี 2565 อยู่ที่ 10.5%
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจด้วยประสบการณ์ที่มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมและมีประสบการณ์การออกแบบและจัดหาผลิตภัณฑ์โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถการแข่งขันในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท
ทั้งกลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่นและธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน ภายใต้แบรนด์สินค้าที่มีความหลากหลาย ทั้งกลุ่ม In-house Brand และ Import Brand โดยแต่ละแบรนด์มีเอกลักษณ์และการออกแบบที่แตกต่างกัน ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครอบคลุม
ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีสินค้าในกลุ่มธุรกิจแฟชั่น จำนวน 19 แบรนด์ แบ่งเป็น In-house Brand จำนวน 10 แบรนด์ อาทิ JASPAL (ยัสปาล), CC DOUBLE O (ซีซี ดับเบิ้ลโอ), CPS CHAPS (ซีพีเอส แชปส์), LYN (ลิน), lyn around (ลิน อะราวนด์) เป็นต้น
ส่วน Import Brand จำนวน 9 แบรนด์ อาทิ FRED PERRY (เฟร็ด เพอร์รี่), DIESEL (ดีเซล), Superdry (ซุปเปอร์ดราย) เป็นต้น ซึ่งเป็นสินค้าแฟชั่นที่มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม มีความทันสมัยและหลากหลายมากกว่า 113,000 SKUs ครอบคลุมสินค้าตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางและแว่นตา เป็นต้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน มีจำนวน 6 แบรนด์ แบ่งเป็น In-house Brand จำนวน 3 แบรนด์ และ Import Brand จำนวน 3 แบรนด์ มีสินค้ามากกว่า 21,500 SKUs
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายสาขาหน้าร้านและจุดจำหน่ายภายในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และศูนย์ค้าปลีกชั้นนำทั่วประเทศ รวม 970 สาขา แบ่งเป็นในประเทศ 888 สาขา และอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา อีกราว 82 สาขา
ขณะเดียวกัน สำหรับกลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่น ยังมีการจำหน่ายเพิ่มเติมผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กลุ่มบริษัทฯและแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ต่างๆ (Marketplace) และสำหรับกลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอนยังมีการจำหน่ายเพิ่มเติมผ่านการขายงานโครงการและส่งออกสินค้าไปต่างประเทศอีกด้วย
นายยศเทพ สิงห์สัจจเทศ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) หรือ JPC กล่าวว่า กลุ่มบริษัทมีศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินธุรกิจในตลาดต่างประเทศ ด้วยข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันในฐานะผู้นำในธุรกิจสินค้าแฟชั่นในประเทศไทย ที่มีแบรนด์สินค้าชั้นนำที่หลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค และเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้รับการยอมรับในระดับสากล จากการทำดำเนินกิจกรรมทางการตลาดเพื่อสร้างการจดจำแบรนด์ในตลาดต่างประเทศ
โดย JASPAL ถือเป็นแบรนด์แรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำ Brand Collaboration ร่วมกับดีไซเนอร์ระดับโลกเพื่อสร้างสรรค์คอลเลคชั่นพิเศษ หรือการเลือกใช้ซูเปอร์โมเดลระดับโลกและเซเลบริตี้ นักแสดง นักร้องระดับโลก มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้แก่แบรนด์ในกลุ่มบริษัทฯ เป็นต้น
ซึ่งกลุ่มบริษัทมีสาขาและจุดจำหน่ายสินค้าภายในศูนย์การค้าชั้นนำในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซียและกัมพูชา รวมถึงการจำหน่ายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อสินค้าที่มีความแตกต่างกันของลูกค้า
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูงเพิ่มเติม เพื่อรับโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค เช่น ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ซึ่งในปี 2566 จะเพิ่มสาขาต่างประเทศอีก 34 สาขา และในปี 2567 ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มอีก 44 สาขาในต่างประเทศ และอีก 64 สาขาในไทย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการขึ้นเป็นผู้นำด้านธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคอาเซียนภายใน 5 ปี
29/8/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 29 สิงหาคม 2566 )