โค้งสุดท้ายปี 2566 ยังคงอยู่ในบรรยากาศของการประกาศความสำเร็จ 3 ไตรมาสแรก หรือ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2566)
อัพเดตค่ายอสังหาริมทรัพย์ 2 แบรนด์ดัง ทำผลงานได้ฉลุย มียอดขายแล้ว 79-82% จากค่าเฉลี่ยมาตรฐานปีละ 4 ไตรมาส ตกไตรมาสละ 25% ดังนั้น ผลงาน 3 ไตรมาสต้องทำอย่างน้อย 75% อะไรประมาณนี้
โดย พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ผลงานไตรมาส 3/66 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทมียอดขาย 12,475 ล้านบาท เติบโต 7% จากไตรมาส 3/65 แบ่งเป็นยอดขายคอนโดมิเนียม 75% บ้านแนวราบ 25% (ภายใต้บริษัทลูก บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI)
น่าสนใจว่า ในจำนวนนี้เป็นยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่หรือ RTM-ready to move in 57% และโครงการเปิดขายใหม่ (new launch) กับกำลังก่อสร้าง (ongoing) 43%
ไฮไลต์ประจำไตรมาส 3/66 มาจาก 3 คอนโดฯที่ทยอยเปิดขายช่วงปลายไตรมาส ประกอบด้วย แกรนด์ แฮมป์ตัน ทองหล่อ ออริจิ้น เพลส ขอนแก่น-กัลปพฤกษ์ และดิ ออริจิ้น กะทู้-ป่าตอง มียอดขายสะสมนับตั้งแต่เปิดตัว (take up rate) เฉลี่ย 40% สมทบด้วยคอนโดฯที่เปิดขายตั้งแต่ต้นปี อาทิ โซ ออริจิ้น ศิริราช, ออริจิ้น เพลส พหล 59 สเตชั่น, ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม และดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต
พีระพงศ์ จรูญเอก
ส่งผลให้ผลงาน 9 เดือนแรก มียอดขายสะสมแล้ว 36,940 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 26% และคิดเป็น 82% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี
โดยไม่ชักช้า ออริจิ้นฯมูฟออนแผนลงทุนต่อเนื่องในไตรมาส 4/66 (ตุลาคม-ธันวาคม) วางแผนเปิดตัวใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,550 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,650 ล้านบาท กับบ้านแนวราบ 7 โครงการ มูลค่ารวม 8,900 ล้านบาท
ความสำเร็จของสินค้าคอนโดฯ เก็บเกี่ยวความสำเร็จมาจาก 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin) และโซ ออริจิ้น (So Origin) กระจายลงทุนในกรุงเทพฯ อาทิ ทำเลปิ่นเกล้า สุขุมวิท และต่างจังหวัดหัวเมืองสำคัญ อาทิ พัทยา บางแสน นครราชสีมา
ส่วนบ้านแนวราบ เน้นเจาะตลาดแมส ด้วยแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เสริมทัพด้วยแบรนด์ไฮเอนด์อย่างแกรนด์ บริทาเนีย และแบรนด์ลักเซอรี่ เบลกราเวีย กระจายการลงทุนทั้งในฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ อาทิ ราชพฤกษ์ บางนา-บางปะกง เวสต์เกต
ทั้งนี้ จากผลดำเนินงานที่สะสมยอดขายไว้แล้วกว่า 82% ของเป้ายอดขายทั้งปี และแผนดำเนินงานที่กระจายตัวพัฒนาโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ออริจิ้นฯมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายทั้งปี จำนวน 45,000 ล้านบาท
การเดินหน้าเจาะทำเลศักยภาพใหม่ ๆ ทั่วประเทศ ตามแผนงาน Origin Infinity เป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะทรงตัว แต่เรายังเห็นความต้องการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและซื้อเพื่อการลงทุน ในทำเลศักยภาพหลายทำเล เช่น โซนฝั่งธนบุรี โซนหัวเมืองขนาดใหญ่อย่างภูเก็ตและขอนแก่น นายพีระพงศ์กล่าว
ASW เพิ่มเป้าเปิดตัว 3 หมื่นล้าน
ด้าน กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ-We Build Happiness เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรก มียอดขายสะสมรวม 11,784 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วน 79% ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ผลงานที่ทำออกมาได้ทะลุเป้า ทำให้พกความมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์
โดยโครงการหลักที่ผลักดันยอดขายให้มีการเติบโตอย่างน่าพึงพอใจในไตรมาส 3/66 คือ โมดิซ อาวองการ์ด ซึ่งเป็น campus condo โครงการใหม่ใกล้ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต จำนวน 751 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท สามารถปิดการขายได้ทั้งหมดหลังจากเปิดพรีเซลไม่นาน ตอกย้ำภาพลักษณ์ ASW ในฐานะผู้นำตลาด campus condo อย่างแท้จริง
สำหรับมุมมองบวกต่อแนวโน้มไตรมาส 4/66 ประเมินว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์นับจากนี้เป็นต้นไป จะมีความคึกคักเป็นอย่างมาก จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เพื่อรองรับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดี ฝั่งดีมานด์ที่คาดว่ามีการฟื้นตัว และเล็งเห็นศักยภาพในหลาย ๆ ทำเล ASW จึงได้ประกาศรีวิวแผนลงทุนในการเปิดตัวใหม่ จากเดิมวางแผนไว้ 12 โครงการ มูลค่ารวม 22,500 ล้านบาท ล่าสุด เพิ่มเป้าเป็น 15 โครงการใหม่ มูลค่ารวมเพิ่มเป็น 30,460 ล้านบาท
รายละเอียดแผนลงทุนในไตรมาส 4/66 เตรียมเปิดตัวใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 11,550 ล้านบาท ได้แก่ 1.เคฟ วันเดอร์แลนด์ จำนวน 1,424 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,550 ล้านบาท 2.แอทโมซ แคนวาส ระยอง 674 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท
3.โมดิซ โวยาด ศรีนครินทร์ 813 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท 4.เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา 637 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,750 ล้านบาท และ 5.เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี ในยาง 103 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท
8/10/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 8 ตุลาคม 2566 )