จากกรณีมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า การที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ภูเก็ต ก็เพื่อผลประโยชน์ในการขายอสังหาริมทรัพย์ของ บมจ.แสนสิริ เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร ดร.โสภณมาให้คำตอบด้วยตัวเลขและสถิติ
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA
ซึ่งได้สำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2537 กล่าวว่า บมจ.แสนสิริได้เริ่มพัฒนาโครงการที่ภูเก็ตตั้งแต่ปี 2554 (ปีน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพมหานคร)
โดยตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลา 12 ปี ได้พัฒนาทั้งหมด 16 โครงการ รวมหน่วยขายทั้งหมด 6,248 หน่วย มีมูลค่ารวม 16,899 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 2.7 ล้านบาทเท่านั้น
สินค้าส่วนใหญ่ทำขายให้กับคนไทยในภูเก็ต ทั้งคนท้องถิ่นและคนไทยที่มาทำงานในภูเก็ต มากกว่าที่จะขายให้ชาวต่างชาติ
สถิติ ณ กลางปี 2566 บมจ.แสนสิริมีโครงการที่ยังขายอยู่เพียง 3 โครงการ มีหน่วยขายรวมกันเพียง 609 หน่วย รวมมูลค่าเพียง 1,940 ล้านบาท
ทั้งนี้ หน่วยขายหนึ่งๆ มีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.185 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นกลุ่มลูกค้าคนไทยมากกว่าชาวต่างประเทศ
ในด้านสินค้าเป็นบ้านเดี่ยว 119 หน่วย บ้านแฝด 72 หน่วย ทาวน์เฮาส์ 144 หน่วย และห้องชุด 274 หน่วยเท่านั้น โดยไม่ได้เน้นการพัฒนาแบบบ้านหรูพูลวิลล่า
ดังนั้น จากตัวเลขข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การไปปฏิบัติภารกิจที่ภูเก็ตของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นยอดขายของ บมจ.แสนสิริแต่อย่างใด
ยิ่งกว่านั้น แสนสิริมีโครงการในจังหวัดอื่นๆ อยู่ทั่วประเทศ ถือเป็นบริษัทมหาชนที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูมิภาค (นอกเขต กทม.-ปริมณฑล) มากเป็นอันดับ 2 รองเพียง บมจ.ศุภาลัยเท่านั้น ในขณะนี้
เทียบกับยุคก่อนโควิด-19 ระบาด บมจ.แสนสิริเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่พัฒนาในจังหวัดภูมิภาคสูงสุด โดยพัฒนาในหลายจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค
อนึ่ง ในการให้ข้อมูลนี้ ดร.โสภณยืนยันว่าไม่ได้ฝักใฝ่ทางการเมือง เพียงแต่นำข้อมูลมานำเสนอเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์และทำความจริงให้ปรากฏเท่านั้น
1/11/2566 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 1 พฤศจิกายน 2566 )