AOT กางแผนพัฒนาสนามบินทั่วประเทศ หนุนไทยเป็นศูนย์กลางการบินโลก เชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ-การเดินทางแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตามนโยบายนายกฯ เศรษฐา ที่มีเป้าหมายผลักดันสนามบินของไทยติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก พร้อมเพิ่มขีดศักยภาพรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศมากกว่า 150 ล้านคนต่อปี ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าแห่งภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดเป็น 1 ใน 10 ของโลก
วันที่ 1 มีนาคม 2567 รายงานข่าวจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมส่งเสริมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของโลก เชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และเชื่อมต่อการเดินทางแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีเป้าหมายการผลักดันท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก
เพิ่มขีดศักยภาพรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศมากกว่า 150 ล้านคนต่อปี ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าแห่งภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดเป็น 1 ใน 10 ของโลก
โดยมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการบิน เนื่องจากตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์กึ่งกลางของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีพรมแดนติดกับ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน และได้รับสิทธิประโยชน์จากการเปิดเสรีการบินอาเซียน
ในฐานะที่ AOT กำกับดูแลท่าอากาศยานในความรับผิดชอบ 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จึงถือเป็นประตูด่านแรกในการสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว และส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ
ดังนั้น เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ AOT จึงมุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานเพื่อการรองรับการจราจรทางอากาศที่จะเติบโตในอนาคต เชื่อมโยงสนามบินกับโครงข่ายการเดินทางทั่วประเทศ ตลอดจนพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเพื่อรองรับฮับการเดินทางภูมิภาค อาทิ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul : MRO) และท่าอากาศยานสำหรับเครื่องบินส่วนบุคคล (Private Jet) เพื่อจูงใจสายการบินทั่วโลกให้เข้ามาเปิดเส้นทางใหม่ รับการเติบโตที่ก้าวกระโดดของตลาดการบินเอเชีย-แปซิฟิก
โดยปัจจุบัน AOT ได้เร่งรัดแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินในระยะ 10 ปี เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารให้ได้ถึง 150 ล้านคนต่อปี โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ทสภ.ได้เปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) เพิ่มปริมาณการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี
ส่วนปี 2567 ทสภ.เตรียมเปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 เพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีแผนการพัฒนาขีดความสามารถของสนามบินอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก-ทิศตะวันตกของอาคารผู้โดยสาร (East-West Expansion) เพิ่มปริมาณการรองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี
และโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) รองรับผู้โดยสารเพิ่มได้อีก 60 ล้านคนต่อปี และก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 เพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ AOT ยังเตรียมพร้อมการพัฒนาสนามบินท้องถิ่นให้เป็นฮับการบินภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางการบิน และบรรเทาปริมาณการจราจรทางอากาศที่หนาแน่นในสนามบินหลักของประเทศ เชื่อมต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจไปสู่เมืองรอง
โดยในท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งเป็นสนามบินหลักรองรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศในภูมิภาค AOT มีแผนเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านคนต่อปี เป็น 50 ล้านคนต่อปี อาทิ โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ โครงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม โครงการก่อสร้างอาคาร Junction Building เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนทางรางรถไฟฟ้าสายสีแดง รวมถึงการพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ร่วมกับเอกชน และการก่อสร้างอาคารจอดรถรองรับได้ 7,600 คัน
ส่วนด้านภาคใต้ซึ่งมีเศรษฐกิจการท่องเที่ยวหนาแน่นมากที่สุดนั้น AOT มีแผนขยายขีดความสามารถของ ทภก. พัฒนาส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบิน เพิ่มปริมาณการรองรับผู้โดยสารเป็น 18 ล้านคนต่อปี
รวมถึงแผนการก่อสร้าง ทภก.แห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานอันดามัน รองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 40 ล้านคน มีศักยภาพเป็นฮับการบินภาคใต้ เชื่อมเส้นทางระยะไกล (Long-haul Flight) รองรับเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศแบบ Point to Point และศึกษาโครงการพัฒนา Seaplane & Ferry Terminal พัฒนาพื้นที่จอดอากาศยานขึ้น-ลงในทะเล รองรับผู้โดยสารชั้นสูงอีกด้วย
ขณะที่ฮับการบินทางภาคเหนือยังมีโครงการขยาย ทชม.ระยะที่ 1 ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศและปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 16.5 ล้านคนต่อปี รวมทั้งแผนการก่อสร้าง ทชม.แห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานล้านนา รองรับปริมาณผู้โดยสารได้ 20 ล้านคนต่อปี
ส่วนโครงการพัฒนา ทชร. ระยะที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 6 ล้านคนต่อปี ควบคู่ไปกับการเปิดให้เอกชนเข้ามาพัฒนา MRO เพื่อรับซ่อมบำรุงอากาศยานแบบครบวงจร
อย่างไรก็ตาม AOT ยังมีแผนการรับโอนสิทธิการบริหาร 3 ท่าอากาศยานภูมิภาค ได้แก่ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ และท่าอากาศยานกระบี่ เพื่อพัฒนาเป็นประตูเมืองเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน (Gateway)
โดยอีสานเหนือคือ ท่าอากาศยานอุดรธานี เชื่อมต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และอีสานใต้คือท่าอากาศยานบุรีรัมย์ เชื่อมต่อราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินอาเซียน ส่วนท่าอากาศยานกระบี่จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาปริมาณการจราจรทางอากาศที่เต็มขีดความสามารถของ ทภก. และรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศจากภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
รายงานข่าวยังเปิดเผยด้วยว่า นอกจากการเพิ่มศักยภาพการขนส่งผู้โดยสารแล้ว AOT ยังมุ่งมั่นด้านภารกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศ พร้อมดำเนินโครงการขยายอาคารคลังสินค้าให้รองรับปริมาณสินค้าได้กว่า 3.5 ล้านตันต่อปี และโครงการก่อสร้างคลังสินค้าใกล้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 2 (SAT-2 Cargo) ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพงานบริหารจัดการสินค้า ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสผู้ประกอบการไทยไปสู่ตลาดโลกได้ดีมากขึ้น
ตลอดจนดึงดูดให้บริษัทขนส่งสินค้าทางอากาศชั้นนำของโลกเข้ามาร่วมลงทุนสร้างศูนย์กลางการกระจายสินค้าทางอากาศแห่งภูมิภาค ณ ทสภ. อย่างไรก็ตาม AOT ยังมีแผนกิจกรรมเชิงพาณิชย์บนพื้นที่บริเวณโดยรอบ ทสภ. เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการขนาดใหญ่มาตั้งการจัดเก็บและกระจายสินค้า รวมถึงพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์
ขณะเดียวกัน AOT ยังได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบบริการผู้โดยสารสมัยใหม่เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผู้โดยสารทั้ง 6 ท่าอากาศยานให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลาการรอคอย และแก้ปัญหาคอขวด บรรเทาความหนาแน่นของผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วน
ได้แก่ 1.ระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Terminal Equipment : CUTE) เป็นระบบอำนวยความสะดวกและจัดการด้านการเข้าถึงระบบเช็กอินผู้โดยสารผ่าน Airlines Application 2.ระบบเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service : CUSS) เป็นระบบอำนวยความสะดวก และจัดการด้านการเข้าถึงระบบเช็กอินผู้โดยสาร โดยมุ่งเน้นการบริการแบบ Self-Service ซึ่งผู้โดยสารไม่ต้องต่อแถวรอ
3.ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop : CUBD) ผู้โดยสารสามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระสู่สายพานลำเลียงได้ด้วยตนเองอัตโนมัติ 4.ระบบตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร (Passenger Validation System : PVS) เป็นระบบการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน
5.ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (Self-Boarding Gate : SBG) เพิ่มความสะดวกสบายกับนักเดินทาง 6.ระบบ Individual Carrier System (ICS) ซึ่งเป็นระบบขนส่งสัมภาระความเร็วสูง และมีความแม่นยำสูงในการตรวจสอบติดตามสัมภาระ 7.ช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติขาออก (Auto Channel) สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Passport) รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจหนังสือเดินทางจากเดิม 5,000 คนต่อชั่วโมง เป็น 10,000 คนต่อชั่วโมง และ 8.ระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover : APM) รถไฟฟ้าเชื่อมต่ออาคารผู้โดยสารกับอาคาร SAT-1
นอกจากนี้ ยังให้บริการผ่านโครงข่าย 5G นำเสนอประสบการณ์เดินทางแบบใหม่ให้กับผู้โดยสาร เช่น หุ่นยนต์อัจฉริยะ AI (Artificial Intelligence) ระบบตรวจจับและรับรู้ใบหน้าบุคคล (Biometric) ระบบความปลอดภัยการบินขั้นสูง (Advance Aviation Safety) และระบบตรวจจับวัตถุต้องสงสัย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม AOT ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการภาคพื้น (Ground Handling) รองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น โดยเปิดกว้างให้เกิดผู้บริหารรายใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ AOT ยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการก้าวไปสู่ศูนย์กลางการบินโลก ปัจจุบันสนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT ปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลโดยบุคลากรที่ปฏิบัติงานเป็นผู้ที่ได้รับรองจากรัฐและอุปกรณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่ AOT นำมาใช้งานนั้นเป็นอุปกรณ์ที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยด้านการขนส่งของสหรัฐอเมริกา (Transportation Security Administration : TSA) และ (European Civil Aviation Conference : ECAC) เป็นหน่วยงานมาตรฐานระดับสากลของอเมริกาและยุโรปให้การรับรอง
การพัฒนาสนามบินไม่เพียงสร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจ แต่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น การเชื่อมต่อระบบขนส่งแบบไร้รอยต่อจึงถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของการส่งเสริมศูนย์กลางการบิน เพื่อเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจสำคัญและเชื่อมเส้นทางไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบัน ทสภ.สามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้อย่างครบครันทั้งระบบขนส่งมวลชนทางรางเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงโดยรถโดยสารสาธารณะ และในอนาคตสามารถเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา
ทั้งนี้ การเป็นศูนย์กลางการบินของโลกจะเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น สนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ จากความสะดวกสบายของการเดินทางเส้นทางการบินที่หลากหลาย กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ไปจนถึงการสร้างความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน
1/3/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 1 มีนาคม 2567 )