การรถไฟฯ พร้อมเปิดใช้ทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ตลอดเส้นทาง รวม 420 กิโลเมตร เล็งเปิดทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงสระบุรี-นครราชสีมา ปลายปี67
วันที่ 5 มิถุนายน 2567 นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล และกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งของประเทศ และมอบนโยบายให้การรถไฟฯเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ และรถไฟสายใหม่ทั่วประเทศให้แล้วเสร็จตามแผนงานตามนโยบายของนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางราง ให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศที่มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สามารถอำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน การขนส่งสินค้าเชื่อมโยงทุกภูมิภาค มีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ
โดยในปัจจุบันสามารถเปิดใช้งานทางคู่ในเส้นทางสายต่าง ๆ แล้ว จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ โครงการช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร โครงการช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กิโลเมตร ขณะที่เส้นทางรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร เปิดให้บริการระหว่างสถานีบ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จังหวัดชุมพร ระยะทาง 347.4 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา
ล่าสุด การรถไฟฯได้พิจารณาความพร้อมของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ และกำหนดเปิดใช้งานเพิ่มอีก 72.6 กิโลเมตร ระหว่างสถานีนครปฐม-บ้านคูบัว ระยะทาง 57 กิโลเมตร และสถานีสะพลี-ชุมพร ระยะทาง 15.6 กิโลเมตร ทำให้สามารถเปิดใช้ทางคู่ในเส้นทางสายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ได้ตลอดเส้นทาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 420 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป
โดยใช้ระบบทางสะดวกอิเล็กทรอนิกส์ (e-Token) ในการเดินรถระหว่างที่มีการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณที่มีความคืบหน้าแล้ว 59.762% คาดว่าจะสามารถใช้งานได้เต็มระบบภายในปี 2568 ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาเดินทางแก่ประชาชน อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมต่อระบบการขนส่งเส้นทางท่องเที่ยวของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และธุรกิจด้านการขนส่งสินค้าอื่น ๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ยังได้เตรียมเปิดให้บริการรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ในระยะแรก ช่วงสถานีมาบกะเบา-มวกเหล็กใหม่ จังหวัดสระบุรี ระยะทาง 13.20 กิโลเมตร และช่วงสถานีบันไดม้า-คลองขนานจิตร จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 29.70 กิโลเมตร รวมระยะทาง 42.90 กิโลเมตร ภายในปี 2567 ส่วนการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายอื่น และรถไฟทางสายใหม่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการนั้น การรถไฟฯได้เร่งดำเนินการเพื่อให้เสร็จตามแผนที่กำหนดโดยเร็วเช่นกัน
นายเอกรัชกล่าวทิ้งท้ายว่า หากโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ดำเนินการอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะช่วยยกระดับการให้บริการการเดินทางที่ดีแก่พี่น้องประชาชน รวมถึงการขนส่งสินค้า สามารถถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเดินรถ ทำให้การรถไฟฯสามารถรองรับขบวนรถได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางเสมอระดับรถไฟ-รถยนต์
ที่สำคัญ รถไฟทางคู่ยังช่วยกระจายโอกาสทางสังคมการเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่ชนบท เมือง และประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งระบบรางของประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคตอันใกล้... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่
5/6/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 5 มิถุนายน 2567 )