ซีพีเอ็น เดินหน้าปั้น เซ็นทรัล ภูเก็ต ขึ้นแท่นฮับลักเซอรี่แบรนด์ทุ่มงบฯเร่งขยายพื้นที่โซนลักเซอรี่เพิ่มขึ้น 4 เท่า ภายในปี 2569 รองรับทัพแบรนด์หรู-เครื่องประดับไฮเอนด์ ที่จะทยอยมาปักธงเป็นแห่งแรกที่ภูเก็ต รองรับเศรษฐีไทย-ต่างชาติ นักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง พร้อมเตรียมอัดแคมเปญ-กิจกรรม ตลอดทั้งปี หวังผลักดัน ภูเก็ต ให้เป็นมากกว่าเมืองท่องเที่ยว ตอกย้ำการเป็น The Worlds Luxury Magnitude
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า จากวิสัยทัศน์ของเซ็นทรัลพัฒนาที่วางไว้หลายปีก่อนที่ต้องการจะทำให้ เซ็นทรัล ภูเก็ต เป็น The Worlds Luxury Magnitude นั้น ปัจจุบันถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก Strategic Location ของเซ็นทรัล ภูเก็ต ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นแลนด์มาร์กของคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ประกอบกับที่เซ็นทรัลพัฒนา ได้เปิดให้บริการ เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า เมื่อช่วงปี 2018 เพื่อรองรับ Luxury Lifestyle เทียบชั้นเมืองชายทะเลระดับโลกอย่างริเวียร่า, ซานโตรินี, ไมอามีบีช และฮาวาย จึงทำให้ปัจจุบันเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า กลายเป็น World-class Luxury Mall แห่งเดียวใจกลางภูเก็ต ด้วยแบรนด์ลักเซอรี่ระดับโลกมากมาย และยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจาก Quantity to Quality Spending ซึ่งเป็นนโยบายที่ทั้งภาครัฐ-เอกชนจะร่วมกันทำให้ภูเก็ต ไม่มีช่วงโลว์ซีซั่น เที่ยวได้-จับจ่ายได้ตลอดทั้งปี
ที่ผ่านมา เซ็นทรัล ภูเก็ต มียอดทราฟฟิกดีกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 30% หรืออยู่ที่ประมาณ 80,000 คนต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ 70% และคนไทย 30% โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงสุด 5 ประเทศหลัก ยังคงเป็นประเทศจีน รัสเซีย เกาหลีใต้ ฮ่องกง และอเมริกา
ขยายโซนลักเซอรี่อีก 4 เท่า
นางสาววิไลพร ปิติมานะอารี ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาภูเก็ต บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า เพื่อรองรับทิศทางดังกล่าว ปีนี้เซ็นทรัลพัฒนายังคงเดินหน้าสร้างประสบการณ์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
โดยเซ็นทรัล ภูเก็ต ในฝั่งของ ฟลอเรสต้า มีแผนจะปรับพื้นที่โซนลักเซอรี่ที่อยู่ชั้น 1 ให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับแบรนด์หรูชั้นนำที่อยู่ในกลุ่มตั้งแต่ Accessible Core ไปจนถึง Superpremium มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันในโซนลักเซอรี่จะยังคงมีแบรนด์ที่อยู่ในกลุ่ม Affordable Luxury อาทิ COACH ปะปนอยู่ ซึ่งในอนาคตกลุ่มแบรนด์ดังกล่าวก็จะย้ายขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ชั้น 2 แทน เพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันก็จะมีการขยายพื้นที่โซนลักเซอรี่เป็น 4,000 ตารางเมตร ภายในสิ้นปี 2567 และภายในปี 2569 จะขยายเป็น 8,000 ตารางเมตร จากปัจจุบันมีพื้นที่อยู่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการเปิดตัวของอีกหลากหลายแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงเพื่อรองรับสำหรับแบรนด์ที่ต้องการขยายพื้นที่หน้าร้านให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเช่นเดียวกัน ขณะที่ฝั่งเซ็นทรัล ภูเก็ต เฟสติวัล ในปีนี้ก็จะมุ่งเน้นให้เป็น Family Destination มากขึ้นผ่านการดึงแบรนด์ต่าง ๆ เข้ามาเสริม เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งคนไทยและต่างชาติ
คาดว่าภายในปี 2569 จะมีแบรนด์หรูชั้นนำที่เข้ามาเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 30 แบรนด์ จากปัจจุบันมีอยู่ 14 แบรนด์ อาทิ BALENCIAGA, BOTTEGA VENETA, BURBERRY, CHRISTIAN LOUBOUTIN, DIOR, GUCCI, HERMES, LOUIS VUITTON, OMEGA, PMT THE HOUR GLASS, SAINT LAURENT, VERSACE, ZEGNA และ PRADA ที่เตรียมเปิดให้บริการในปีนี้ รวมถึงในอนาคตอาจจะมีการดึงแบรนด์ลักเซอรี่ที่อยู่ในกลุ่มเครื่องประดับ ที่ไม่เคยเปิดในประเทศไทย มาเปิดที่เซ็นทรัล ภูเก็ต เป็นแห่งแรกด้วยเช่นกัน
จัดเต็มสิทธิพิเศษ VVIP
นางสาววิไลพรกล่าวว่า นอกจากนี้ เซ็นทรัล ภูเก็ต ยังคงเดินหน้ามอบประสบการณ์ระดับไฮเอนด์ที่ดีไซน์เฉพาะกลุ่มลูกค้า VVIP อาทิ Club ที่มี Luxury Services สำหรับ VVIP ปัจจุบันมีสมาชิกระดับ Tycoon & Millionaire กว่า 2,300 คน ที่จะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ Butler แห่งแรกในไทย, บริการ Luxe Limo Service และ Exclusive Dining ที่ Su Va Na Restaurant เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันลูกค้าที่เป็นTop Spender ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในภูเก็ต 50-60% ต่างชาติ 20% และที่เหลือจะเป็นคนกรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
จากฐานข้อมูล The1 จะเห็นได้ว่าลูกค้าของเซ็นทรัล ภูเก็ต มียอดใช้จ่ายต่อคนสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลพัฒนาทั่วประเทศ โดยลูกค้า Wealth Segment ที่เซ็นทรัล ภูเก็ต มีการใช้จ่ายสูงกว่าลูกค้า Wealth ของสาขาอื่น ๆ ถึง 45% สะท้อนการเติบโตของตลาดสินค้าลักเซอรี่ในไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดประมาณ 1.6 แสนล้านบาท โดยตลาด Luxury ไทยขยายตัวถึง 5.62% จนถึงปี 2028 คาดว่าจะแซงหน้าตลาดสิงคโปร์
อัดอีเวนต์-ดึงนักท่องเที่ยว
รวมถึงยังเตรียมจัดอีเวนต์และเทศกาลระดับโลกต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก เช่น เทศกาลสงกรานต์, Pride Month, Countdown และยังรวมไปถึง Art Exhibition ที่รวบรวมศิลปินแถวหน้าจากทั่วโลก ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเพิ่มสีสันทุกเดือน เพื่อให้ภูเก็ตเป็น Art Destination Landmarks
จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว คาดว่าจะช่วยตอบโจทย์ของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริม Sustainable Economy ให้ภูเก็ตเป็น Hub ระดับโลกในหลายด้าน อาทิ Culinary, Medical & Wellness, Sport Tourism, Education, Smart City, Marina และ MICE อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ภูเก็ตยังถือเป็นจังหวัดที่สร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ โดยในปี 2566 ภูเก็ตสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดถึง 380,000 ล้านบาท และในปี 2567 คาดว่าจะทำรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 450,000 ล้านบาท รวมถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตมากกว่า 12 ล้านคน
เนื่องด้วยปัจจุบัน ภูเก็ตเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเศรษฐีชาวไทยและต่างชาติ หรือ Asias Richest Beach Residential ด้วย Infrastructure ที่พร้อมรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทั้งแผนขยายสนามบินภูเก็ต เฟส 2 ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 มีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรงพยาบาล, โรงเรียนนานาชาติ, ท่าเรือยอชต์, สนามกอล์ฟ และ Private Jet เป็นต้น จึงคาดว่าในอนาคต ภูเก็ตจะยังคงเป็นเมืองที่มีศักยภาพ และสามารถสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีการลงทุนในภูเก็ตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ ประกอบด้วย 4 ศูนย์การค้า, 5 ห้างสรรพสินค้า, 7 โรงแรม, 3 คอนโดมิเนียม รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ในกลุ่ม อาทิ ซูเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, ไทวัสดุ, บีเอ็นบี โฮม, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท, Tops Food Hall, Tops Market, Tops Daily, Tops Vita เป็นต้น และเซ็นทรัลพัฒนา มีศูนย์การค้าในภาคใต้ รวมทั้งหมด 5 แห่ง คือ เซ็นทรัล ภูเก็ต, สมุย, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช และหาดใหญ่
12/6/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 12 มิถุนายน 2567 )