เฮลท์ลีด เดินหน้ารุกตลาดร้านยา 3.7 หมื่นล้าน ลุยขยายสาขาร้านขายยาในกรุงเทพฯ ปริมณฑล เพิ่ม 20 สาขา พร้อมเดินหน้าลอนช์ผลิตภัณฑ์-นวัตกรรมใหม่อีกกว่า 20 รายการ เพื่อหวังรองรับดีมานด์การใช้ยาเพิ่มขึ้น หลังไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบตั้งเป้าสิ้นปี 2567 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 10%
นายธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือเจ้าของร้านขายยา ไอแคร์, ฟาร์แม็กซ์, ซูเปอร์ ดรัก และวิตามินคลับ กล่าวในงาน Opportunity Day (7 มิ.ย. 2567) ถึงภาพรวมอุตสาหกรรมยาว่า มีแนวโน้มเติบโตทุกปี เฉลี่ยปีละ 3-5% โดยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 200,000 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดร้านยาแผนปัจจุบัน มีมูลค่าตลาดอยู่ประมาณ 37,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีการปรับตัวลดลงและเพิ่มขึ้นในบางช่วง โดยในปี 2560-2561 มีการขยับตัวขึ้นจาก 17,156 แห่ง เป็น 18,900 แห่ง แต่ต่อมาในปี 2562 จำนวนร้านยาแผนปัจจุบันกลับลดลงเหลือแค่ 13,906 แห่ง และล่าสุดในปี 2566 มีจำนวนร้านยาแผนปัจจุบัน อยู่ประมาณ 17,882 แห่ง
สำหรับทิศทางการดำเนินงานจากนี้ไป บริษัทยังคงมุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 สำหรับธุรกิจ ICARE HEALTH หรือร้านขายยาตั้งเป้าขยายสาขาร้านยาเพิ่ม 20 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคาดจะใช้งบฯลงทุนต่อสาขา เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท ไปจนถึง 6 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของแต่ละสาขานั้น ๆ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนร้านขายยาอยู่ทั้งหมด 52 สาขา แบ่งเป็นร้านขายยา iCare 26 สาขา, Pharmax 24 สาขา, Vitaminclub 1 สาขา และ Super Drug 1 สาขา
ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีเปิดไปแล้ว 4 สาขา ที่ เสนาเฟสท์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค, ชาน แอ็ท ดิ อเวนิว แจ้งวัฒนะ และเชลล์ พุทธมณฑลสาย 5 ซึ่งหลัก ๆ จะเป็นร้านยา Pharmax เป็นส่วนใหญ่ สำหรับสาขาที่เหลือตอนนี้มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว 15-16 สาขา คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4
ขณะที่ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่ดำเนินงานภายใต้ Healthiness ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 41 รายการ แบ่งเป็นแบรนด์ PRIME 29 รายการ Besuto 9 รายการ และ BOMSKIN 3 รายการ มีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกประมาณ 20 รายการ เนื่องจากประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเรียบร้อยแล้ว หรือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งก็จะเริ่มเห็นปริมาณของการใช้ยาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี
เป้าหมายของการทำสินค้าภายใต้แบรนด์ของเราเอง ปัจจุบันมองว่าไม่ใช่แค่เรื่องของการขายเฉพาะในเครือแล้ว เพราะสินค้าที่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ไตรมาส 4 จะเป็นนวัตกรรมที่จะมาแก้ปัญหา และตอบโจทย์ในชีวิตประจำวันของคนทั่ว ๆ ไปได้ ดังนั้น สินค้ากลุ่มนี้เราจะเริ่มเข้าไปขายนอกกลุ่มด้วย
ทั้งนี้ จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว คาดว่าจะทำให้บริษัท ณ สิ้นปี 2567 มีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 494.82 ล้านบาท เติบโต 27.42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 388.34 ล้านบาท ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้า ไม่ว่าจะทั้งกลุ่มยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติบโต 26.50% กลุ่มสินค้าบริโภคเติบโต 36.20% และกลุ่มสินค้าสุขภาพภายนอกร่างกาย เติบโต 31.79% ประกอบกับในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีโครงการ Easy e-Receipt มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ จึงทำให้ไตรมาส 1 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 18.58 ล้านบาท เติบโต 45.17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
27/6/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 27 มิถุนายน 2567 )