ภายหลังได้รับใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 ปัจจุบันท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา หรือ สนามบินอู่ตะเภา มีความยาวทางวิ่ง 3,505 เมตร กว้าง 60 เมตร และมีหลุมจอด 52 หลุม สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้ทั้ง B777, B787, A330 รวมถึง Antonov (เครื่องบินขนส่งสินค้า) และอยู่ระหว่างการพัฒนาภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
รันเวย์ 2 งบประมาณ 1.5 หมื่นล้าน
โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 (รันเวย์ที่ 2) วงเงิน 15,200 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขยายเส้นทางบินและทำการตลาด เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากใช้ทางวิ่งนี้เต็มศักยภาพสนามบินแห่งนี้จะรองรับปริมาณผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี
ตอนนี้อาคารผู้โดยสารทั้งในและระหว่างประเทศรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 700,000 คนต่อปี หลังจากอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ซึ่งอยู่ในแผน เปิดให้บริการจะมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารรวมประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี
โดยกองทัพเรือ (ทร.) ได้ออกประกาศเชิญชวนยื่นข้อเสนองานจ้างก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับสนามบินอู่ตะเภาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเตรียมเสนอ ครม.เห็นชอบ คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ในช่วงปลายปีนี้ จากนั้นจะแจ้งให้เอกชนเริ่มก่อสร้างโครงการ (NTP) ในช่วงช่วงต้นปี 2568 และคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571 พร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2572
รองรับ 2,500 คนต่อ ชม.
รตน วันภูงา อดีตหัวหน้าฝ่ายอำนวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา ให้ข้อมูลว่า สนามบินอู่ตะเภามีความพร้อมในการรองรับการเติบโตของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเปิดให้บริการผู้โดยสารทั้งเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ เที่ยวบินเช่าเหมาลำ และเที่ยวบินส่วนบุคคล ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
โดยปัจจุบันมีสายการบินชั้นนำเข้ามาใช้บริการแล้วจำนวนมาก อาทิ บางกอกแอร์เวย์ส ไลอ้อนแอร์ และแอร์เอเชีย รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 2,500 คนต่อชั่วโมง แบ่งเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ เที่ยวบินขาเข้า 500 คน และเที่ยวบินขาออก 500 คน ส่วนเที่ยวบินระหว่างประเทศ เที่ยวบินขาเข้า 500 คน และเที่ยวบินขาออก 1,000 คน
บินทั้งใน-ระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งของการเชื่อมต่อการเดินทางทางอากาศให้มากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา สายการบิน แอร์เอเชียเอ็กซ์ ได้เปิดเส้นทางบินตรงระหว่างอู่ตะเภาและกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่าง 2 ประเทศไปแล้ว
นอกจากนี้ยังมีสายการบินภายในประเทศให้บริการ 2 สายการบิน ได้แก่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เปิดให้บริการเส้นทางอู่ตะเภา-สมุย และอู่ตะเภา-ภูเก็ต, สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ ให้บริการเส้นทาง อู่ตะเภา-เชียงใหม่ ส่วนสายการบินระหว่างประเทศ ได้แก่ สายการบินฟลายดูไบ (Flydubai) เส้นทางบินตรง อู่ตะเภา-ดูไบ เป็นต้น
หวังเป็นฮับการบินของภูมิภาค
รตน บอกว่า การเติบโตของสนามบินอู่ตะเภาจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดระยองและชลบุรี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย นอกจากนี้ยังจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวและบริการเพิ่มมากขึ้น และมีแผนรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยได้ดำเนินการตลาดอย่างเข้มข้นในหลายประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเข้ามาใช้บริการ พร้อมรองรับการเติบโตของ EEC และรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
สนามบินอู่ตะเภากำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญของภูมิภาค โดยมีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยือนประเทศไทยมากขึ้น และสนับสนุนการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวของประเทศ
ดึงนักลงทุนเข้าพื้นที่ EEC
ด้าน บดินทร์ ชูศรี อดีตผู้อำนวยการกองปฏิบัติการท่าอากาศยานอู่ตะเภา (อยู่ระหว่างรอคำสั่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอำนวยการ) ท่าอากาศยานอู่ตะเภา บอกกับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า โครงการนี้มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากมีศักยภาพและความเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐ แต่การดำเนินงานในระดับใหญ่และยาวนานเช่นนี้จำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์โดยตรง
ขณะที่โครงการยังคงเผชิญกับอุปสรรคบางประการ เช่น ขั้นตอนการอนุมัติผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการเวนคืนที่ดิน ซึ่งอาจส่งผลต่อระยะเวลาในการดำเนินโครงการ โดยในอนาคตคาดการณ์ว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อการก่อสร้างรันเวย์เสร็จสิ้นจะเห็นภาพการพัฒนาของสนามบินอู่ตะเภาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดีการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาถือเป็นการก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค และจะเป็นสนามบินนานาชาติที่ได้มาตรฐานโลก รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน เชื่อมโยงการท่องเที่ยวสู่ภาคธุรกิจ เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและขนส่งทางอากาศแห่งภูมิภาค
ที่สำคัญ ถือเป็นปัจจัยสำคัญดึงดูดให้นักลงทุนเข้าสู่พื้นที่ EEC ในอนาคต
12/10/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 12 ตุลาคม 2567 )