ราชกรุ๊ป-สหพัฒนา เร่งศึกษาความเป็นไปได้ วางโมเดลต้นแบบลงทุน SMR ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม หวังดึงดูดนักลงทุน ด้านปลัดพลังงาน ชี้ SMR ทางรอดความมั่นคงไฟฟ้า ปูทางสร้างความเข้าใจภาคประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ประสานความร่วมมือจัดงานสัมมนา Thailands SMR Energy Forum A Global Dialogue on SMR Deployment โดยได้รับเกียรติจากนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานและองค์ปาฐกพิเศษในหัวข้อ อนาคตของความมั่นคงทางพลังงาน
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า SMR เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากไฟตก หรือไฟดับในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงได้เป็นอย่างดี ซึ่งนานาประเทศได้ขานรับกันอย่างกว้างขวางและมีการพัฒนาเทคโนโลยี SMR รุดหน้าเป็นอย่างมาก ขณะที่ประเทศไทยก็มีแผนที่จะนำ SMR เข้ามาใช้ โดยมีการศึกษาและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ แล้ว
สำหรับความร่วมมือระหว่าง ราช กรุ๊ป และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในการส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ด้าน Small Modular Reactor เพื่อร่วมกันสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับ SMR เพื่อสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงสะอาด และตอบสนองความต้องการพลังงานไฟฟ้าสีเขียวของภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ SMR
โดยความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นโมเดลใหม่ที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งโมเดลแรกราช กรุ๊ป และ SPI เห็นตรงกันในการลงทุน SMR ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งราช กรุ๊ปและสหพัฒน์ รวมถึงพื้นที่ที่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นนิคมเพื่อดึงดูดการลงทุน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดภายในโครงการ
ตามแผน PDP ระยะเวลาระหว่างทางประมาณ 10 ปี เราเชื่อว่าอาจจะมีการขยับเข้ามาเร็วกว่านั้นแน่นอน ราช กรุ๊ป และ SPI พร้อมลงทุมทันทีหากรัฐบาลเปิดโอกาส นายนิทัศน์กล่าว
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับล่าสุด ได้มีการบรรจุเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ หรือ SMR เพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงทางพลังงานและช่วยไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก หลังจากมีการทำประชาพิจารณ์พบว่าได้รับเสียงตอบรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนเป็นอย่างดี
ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ ข้อดีของ SMR คือกำลังการผลิตน้อยกว่า 300 เมกะวัตต์ ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยาฟิสชั่นผลิตไฟฟ้าแทนการเผาไหม้เชื้อเพลิง มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเพิ่มหรือลดกำลังการผลิตไฟฟ้า ขณะเดียวกันมีการออกแบบอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในถังปฏิกรณ์เดียว ปัจจุบันมีโรงฟ้านิวเคลียร์เดินเครื่อง 417 โรงใน 31 ประเทศ โดยมีการเพิ่มเป้าหมายจากพลังงานนิวเคลียร์ให้เป็น 3 เท่า ภายในปี 2594
ปัจจุบันมองว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพมากที่สุดในตอนนี้ แต่หากบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทลูกของ กฟผ. มีความพร้อม สามารถเดินตามแผนที่ทางภาครัฐวางไว้ได้
อย่างไรก็ดี กระทรวงพลังงาน ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ จัดทำกฎระเบียบเพิ่มเติม พิจารณาพื้นที่เหมาะสม เช่น หลาย ๆ แห่งมีการติดตั้งกำลังการผลิตมากกว่า 300 เมกะวัตต์ เช่น นิคมอุตสาหกรรม คาดว่าจะต้องมีการใช้ถึง 1,000 เมกะวัตต์ ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่นั้น ๆ แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับภาคประชาชน รวมถึงเตรียมความพร้อมบุคลากรด้วย
การพิจารณาร่างแผน PDP ฉบับใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันนั้น คาดว่ายังคงมีการบรรจุ SMR และไฮโดรเจนไว้ในแผน เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ถือว่าเป็นทางรอดให้กับความมั่นคงทางพลังงานของประเทศได้ นายประเสริฐกล่าว
ด้าน นายวิชัย กุลสมภพ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI กล่าวว่า การขับเคลื่อนเทคโนโลยี SMR อาจฟังดูเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย แต่ในระดับโลกถือเป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก
โดยคาดหมายว่า SMR จะเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานสะอาดที่จะมาแทนที่โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในอนาคตในประเทศไทย แม้ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาและวางแผน ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการในหลายด้าน ทั้งด้านกฎหมาย การกำกับดูแล การคัดเลือกเทคโนโลยี การเลือกพื้นที่ติดตั้ง และการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPI ในฐานะภาคเอกชนที่มีบทบาทในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง เล็งเห็นว่า อนาคตของพลังงานไม่ควรพึ่งพาแหล่งพลังงานรูปแบบเดิมเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป
การหาทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นความท้าทายระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Carbon Neutrality และพลังงานสีเขียว การเปิดเวทีระดับนานาชาติในวันนี้ จึงเป็นก้าวแรกของความร่วมมือที่มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในอนาคตพลังงานของไทย
16/7/2568 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 16 กรกฎาคม2568 )