ประชาชาติธุรกิจ สัมภาษณ์ นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถึงแผนการลงทุนของราช กรุ๊ป ในธุรกิจพลังงาน แนวโน้มการขยายตัวทั้งในและต่างประเทศ ความเป็นไปได้ในการร่วมกับพันธมิตรลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor-SMR) ตลอดจนกลยุทธ์ใหม่ ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รองรับการเติบโตดิจิทัล ที่จะเป็นก้าวสำคัญของระบบพลังงานไทยในอนาคต
บุก อินโด หลังปิดดีลภาษีมะกัน
แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง จะมุ่งเน้นการลงทุนและขยายการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งยังคงมีการลงทุนตามแผนเดิมที่วางไว้ตามสัดส่วนการลงทุนในประเทศ 50% และต่างประเทศอีก 50% กระจายการลงทุนหลักในประเทศออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศอินโดนีเซีย โดยขณะนี้บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในอินโดนีเซียเพิ่มเติม เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซียบรรลุข้อตกลงเรื่องภาษี โดยจะมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอินโดฯในอัตรา 19% ในขณะที่อินโดนีเซียจะไม่เก็บภาษีสินค้าส่งออกของสหรัฐ หรือ 0% นั้น โดยตั้งเป้าหมายที่คาดว่าจะเห็นแนวโน้มการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งมองว่าภารกิจของราช กรุ๊ป ในฐานะบริษัทมหาชน ได้วางแผนลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลกำไรให้กับประเทศ
ดึงดาต้าเซ็นเตอร์ลงราชบุรี
บริษัทสนใจลงทุนด้าน Data Center เนื่องจากเป็นธุรกิจที่กำลังมาแรงในประเทศไทย โดยได้มีการเชิญพาร์ตเนอร์เข้ามาพูดคุยและสำรวจพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมราชบุรี เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีโรงไฟฟ้าของราช กรุ๊ป โครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า ท่อส่งก๊าซ และมีศักยภาพด้านแหล่งน้ำที่เหมาะสม ดังนั้น เราจึงมองว่าพื้นที่ราชบุรีมีความพร้อมสูงมาก ทำเล ที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และพื้นที่ของเรามีเยอะ ซึ่งตอนนี้เรากำลังพูดคุย พิจารณาอยู่ แน่นอนว่าตอนนี้ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์กำลังมาแรง เรียกได้ว่าเป็นตลาดสีแดง มีการแข่งขันกันอยู่
จริง ๆ ถ้าพูดถึงดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังมาแรง ผมเชื่อว่าบริษัทพลังงานพร้อมหมด ขึ้นอยู่กับว่าใครมีของดีอะไรมากกว่า มันไม่ได้มีแค่น้ำ ไฟ ความมั่นคง และทุกคนต้องการพลังงานสะอาด ใช้เทคโนโลยี AI
ส่วนการลงทุนภายในประเทศนั้น บริษัทมองว่ายังเสี่ยงและไม่มีโอกาสในการลงทุน แต่มีโครงการโซลาร์ที่ภาครัฐยังพิจารณาอยู่ประมาณ 290-300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งจะมีการทยอยจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ขณะเดียวกันยังมีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ (Solar Floating) ที่พัฒนาโดยบริษัท ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยระหว่างราช กรุ๊ป และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI
ในพอร์ตเป็นฟอสซิล 72.52%
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ณ พฤษภาคม 2568 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 10,815 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล 7,842.61 เมกะวัตต์ คิดเป็น 72.52% ของกำลังการผลิตรวม ประกอบด้วย ก๊าซธรรมชาติ 6,205.98 เมกะวัตต์ คิดเป็น 57.37% ถ่านหิน 1,629.43 เมกะวัตต์ คิดเป็น 15.06% น้ำมันดีเซล 7.20 เมกะวัตต์ คิดเป็น 0.07% และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2,972.22 เมกะวัตต์ คิดเป็น 27.48% ของกำลังการผลิตรวม นอกจากนี้ บริษัทมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักในประเทศ 5,352.82 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักในต่างประเทศ 2,477.78 เมกะวัตต์ ที่เดินเครื่องผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแล้ว
ขณะเดียวกัน บริษัทได้เข้าไปลงทุนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และบริการสุขภาพอีกด้วย
ปั้นโมเดลตั้ง SMR ในนิคม
บริษัทศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor-SMR) ร่วมกับ SPI เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไทยในระยะยาว
ดังนั้น SMR เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากไฟตกหรือไฟดับในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงได้ ซึ่งนานาประเทศได้ขานรับกันอย่างกว้างขวางและมีการพัฒนาเทคโนโลยี SMR รุดหน้าเป็นอย่างมาก
ขณะที่ประเทศไทยก็มีแผนที่จะนำ SMR เข้ามาใช้ โดยมีการศึกษาและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ แล้ว โดยความร่วมมือระหว่าง ราช กรุ๊ป และ SPI ถือเป็นโมเดลใหม่ที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้า โมเดลแรกที่ราช กรุ๊ป และ SPI เห็นตรงกันในการลงทุน SMR ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อดึงดูดการลงทุน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดภายในโครงการ หากภาครัฐเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ทางบริษัทพร้อมเข้าไปลงทุนทันที
อย่างไรก็ดี การเริ่มต้นในปัจจุบันเป็นการเข้าไปส่งเสริมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน รวมถึงพูดคุยกับภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ตอนนี้ภาครัฐมีความพร้อมในการกำกับดูแลในด้านกฎหมาย กฎระเบียบ แต่ยังมีประเด็นโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ 19 ประเด็นที่เป็นข้อบังคับระดับสากลของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) บางส่วนเป็นเรื่องที่ภาครัฐสามารถทำได้และต้องขอความร่วมมือจากภาคเอกชน
จี้รัฐเร่งปรับแผน PDP
เรายังต้องดูความชัดเจนจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ เนื่องจาก นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างตั้งกรรมการขึ้นมาจัดทำแผน PDP ใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ไทยต้องเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ เมียนมา และคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม ที่มีการปรับปรุงแผนพัฒนาพลังงานให้รวมพลังงานนิวเคลียร์ไว้ หากนักลงทุนต่างชาติหันไปลงทุนในเวียดนาม ไทยก็จะเสียเปรียบในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจด้วย
ส่วนเงินลงทุนนั้นยังไม่สามารถระบุได้ แต่ตามแผน บริษัทมีวงเงินลงทุนรวมอยู่ประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท ซึ่งการลงทุน SMR คาดว่าจะต้องร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ เนื่องจากเป็นการลงทุนด้านเทคโนโลยี จึงมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยการพึ่งพากันและใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ขณะนี้มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาพุดคุยหารือหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น แคนาดา ยูเครน นอกจากนี้ มูลค่าเงินลงทุนขึ้นอยู่กับความต้องการ ขนาด กำลังการผลิต และพื้นที่ตั้ง เนื่องจาก SMR มีตั้งแต่ขนาด 10-300 เมกะวัตต์ เงินลงทุนก็จะมีความแตกต่างกัน
ตามแผน PDP ระยะเวลาระหว่างทางประมาณ 10 ปี เราเชื่อว่าอาจจะมีการขยับเข้ามาเร็วกว่านั้นแน่นอน ราช กรุ๊ป และ SPI พร้อมลงทุนทันที หากรัฐบาลเปิดโอกาส แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับจากประชาชน เพราะหากเราไม่มีเรื่องใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย และการลงทุนไม่มา จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างไร นายนิทัศน์กล่าว
21/7/2568 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 21 กรกฎาคม2568 )