info@icons.co.th 02 810 8892-6 3.149.214.32

“ไอเอชจี” ชี้ท่องเที่ยวทยอยฟื้น เปิดแผน 5 ปีเพิ่มโรงแรมอีกเท่าตัว

Hotel News / ข่าวหมวดโรงแรม

“ไอเอชจี” เปิดแผน 5 ปี เปิดโรงแรมใหม่เพิ่ม 30-34 แห่ง รวมกว่า 8 พันห้องทั่วภูมิภาค มั่นใจไทยยังเป็นตลาดสำคัญ คาดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว เห็นสัญญาณบวก Test & Go มุ่งชูประสบการณ์สู่ลูกค้าเหนือสงครามราคา เผยโควิดให้บทเรียน ไม่มีโซลูชั่นที่ครอบจักรวาล

นายราจิต สุขุมารัน กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี ไอเอชจี (IHG) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในช่วง 1-5 ปีข้างหน้าว่า เครือ IHG จะเดินหน้าเปิดโรงแรมแห่งใหม่อีก 30-34 แห่ง หรือคิดเป็นจำนวน 8,100 ห้อง ซึ่งเป็นการเพิ่มจากพอร์ตโรงแรมที่มีอีก 1 เท่าตัว จากปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งสิ้น 29 แห่ง โดยเป็นการขยายโรงแรมภายใต้แบรนด์ในเครือที่หลากหลาย ทั้ง Holiday Inn, Holiday Inn Express หรือ InterContinental รวมถึงภายใต้แบรนด์วีนแยทท์ และ Hotel Indigo

M-Flow ทางด่วนจ่ายอัตโนมัติ ประชาชนวิจารณ์ยับ หลังปรับหนัก 10 เท่า

รื้อระบบบำนาญประเทศไทย รับมือ “เศรษฐกิจ-สังคม” สูงวัย

เหล้าเบียร์ขึ้นราคายกแผง มีนาคม “คอทองแดง” กระอัก

โดยแผนงานดังกล่าวนี้เป็นแผนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งสำหรับประเทศไทยโรงแรมที่เตรียมเปิดตัวจะอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ มีแนวโน้มการทำตลาดของกลุ่มโรงแรม luxury lifestyle เป็นหลัก

ส่วนโรงแรมที่เตรียมเปิดให้บริการในปี 2565 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเกาหลี ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล บาหลี ซานูร์ รีสอร์ท (InterContinental Bali Sanur Resort) โรงแรมโวโค ออร์ชาร์ด สิงคโปร์ (Voco Orchard Singapore) โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท โฮ แทรม (Holiday Inn Resort Ho Tram)

“การระบาดของเชื้อโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาไม่ทำให้เกิดการยกเลิกแผนการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ ๆ แต่เป็นเพียงการชะลอบางโครงการเท่านั้น รวมถึงการปรับปรุงแบรนด์และรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ” นายราจิตกล่าว

นายราจิตกล่าวด้วยว่า จากข้อมูล IHG Search ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ประเทศไทยยังครองอันดับหนึ่ง ประเทศที่ถูกค้นหาในเว็บไซต์มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี โดยกรุงเทพมหานครยังเป็นจุดหมายที่ถูกค้นหามากที่สุด ตามด้วยจังหวัดภูเก็ต ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ยังพบว่าอัตราการเข้าพักเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 มีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 30% สะท้อนว่าแนวโน้มตลาดกำลังฟื้นตัว แต่จำนวนจะกลับมาเท่าปี 2562 หรือไม่นั้นยังประเมินได้ยาก

อย่างไรก็ตาม โรงแรมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ โดยเครือมีจุดเด่นในการลดต้นทุน และยังสามารถประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เราสนับสนุนความพยายามเปิดประเทศของประเทศไทย เพราะเชื่อว่าผู้คนยังต้องการการเดินทาง ดังนั้นเราในฐานะโรงแรมต้องแสดงถึงความมั่นใจแก่ลูกค้าว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่ลงไปแข่งขันด้านราคา” นายราจิตกล่าวและว่า สำหรับการเปิดลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass ในรูปแบบ Test & Go นั้น อาจจะเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบเชิงบวกที่มีต่อภาคธุรกิจโรงแรม

นายราจิตกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้ให้บทเรียนที่สำคัญอย่างยิ่งคือ “No One Size Fits All” หรือ ไม่มีโซลูชั่นใดที่สามารถใช้ได้ครอบจักรวาล โรงแรมในเครือแต่ละแห่งจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน โดยในส่วนของเครือ IHG นั้นได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารงาน มีทีมงานในขนาดที่เล็กลง สามารถใกล้ชิดกับตลาดได้มากขึ้น ทำให้เมื่อเกิดวิกฤตขึ้น บริษัทมีการตอบสนองต่อตลาดได้อย่างทันท่วงที และรับมือกับปัญหาได้อย่างยืดหยุ่น

“IHG ยืนอยู่ร่วมกับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเพื่อฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน และเราได้ร่วมกันหาทางกลับมาพลิกฟื้นหลังสถานการณ์คลี่คลาย” นายราจิตกล่าว

ด้านนายแพททริค โบท ผู้จัดการทั่วไปในกลุ่มโรงแรมลักเซอรี่และไลฟ์สไตล์ประจำประเทศไทย และผู้จัดการทั่วไปโรงแรมคิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ และโรงแรมสินธร มิดทาวน์ กล่าวเสริมว่า เครือ IHG ยังให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศ และต้องรักษาตลาดดังกล่าวเอาไว้ ขณะที่ตลาดต่างประเทศยังต้องเป็นการประเมินสถานการณ์ภาพรวม เนื่องจากปัจจุบันแต่ละประเทศยังมีข้อจำกัดในการเดินทาง

ทั้งนี้ เครือ IHG เป็นเครือโรงแรมที่ติดอันดับ Top 5 ระดับโลก มีโรงแรมทั้งสิ้นมากกว่า 6,000 แห่ง กระจายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นผู้นำด้าน luxury lifestyle hotels อันดับที่ 2 ของโลก โดยมีโรงแรม 400 แห่งทั่วโลกและมีโปรแกรมความภักดีที่แข็งแกร่ง โดยมีสมาชิกกว่า 100 ล้านคน อยู่ในระบบฐานข้อมูล

13/2/2565  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (13 กุมภาพันธ์ 2565)

ช่องยูทูปของ iCONS